เชียงใหม่ 2 วัน 1 คืน | หน้าหนาวหน้าร้อนไปได้หมด

สวัสดีครับ ต้องบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่งกลับจากเชียงใหม่เอง แต่ก็นะ เชียงใหม่ ถือว่าเป็นเมืองพักตากอากาศที่บรรยากาศดีที่สุดในประเทศไทยแล้ว ฮาๆๆ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะมามันทุกเดือนแหละ เพราะนอกจากสถานที่เที่ยวที่ไปยังไงก็ไม่ซ้ำ ยังมีที่กินและแหล่งชุนชมวัฒนธรรมให้เราได้เข้าไปสัมผัส ศึกษาและเรียนรู้กันอีกด้วย

ครั้งนี้เรามาถ่ายงานกันครับ เราอยากทำรายการอะไรเจ๋งๆ สักรายการ เลยกลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง แต่ต้องขอเกริ่นก่อนเลยว่า ทริปนี้จะมาแบบสบายๆ ไม่วุ่นวาย ไม่เรื่องมาก ไม่รีบร้อน เริ่มต้นการเดินทางด้วยการตกเครื่องครับ ๕๕๕๕ บินกันตอนเจ็ดโมง นัดกันตีห้า โทรหาตีสี่แม่งเสือกไม่ตื่น ๕๕๕ ก็ตกเครื่องหนึ่งคนไปตามระเบียบครับ แล้วต้องควักซื้อตั๋วใหม่เฉพาะขาไปสามพันกว่าบาท ฟาคคคคคค!!!

ครั้งนี้เราเดินชิลๆ กับสายการบิน Vietjet ครับ ตอนนี้แว่วๆ มาว่าสายการบินเค้ามีโปรแรงเพียบ เพราะกำลังจะตีตลาดรูทภายในประเทศไทย ทำให้การเดินทางของเราครั้งนี้ จายตั๋วขาไปแค่เพียงคนละ 700 บาท เท่านั้น ฮาๆๆ แม่งโคตรถูก ยังไงเพื่อนๆ ลองเข้าไปที่หน้าเว็บ Vietjet ครับ ลองเข้าไปจองเล่นๆ ดู ถ้าเจอตั๋วราคาเบาๆ ก็จัดเลย แต่ถ้าไม่เจอแล้วจำเป็นต้องซื้อตั๋วเดินทาง ก็ขอฝาก Vietjet ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจไว้ที่นี่ด้วย

แต่!!! แต่ๆๆ ต้องขอเตือนด้วยความเป็นห่วง ด้วยความารักและความสามัคคี สายการบินเวียดเจ็ทเราต้องไปขึ้นบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้น จะเดินทาง จะหีบหิ้วข้าวของ ก็ต้องเผื่อเวลากันด้วย ไม่งั้นอาจเกิดเหตุไม่คาดคิด ฮาๆๆๆ เอาล่ะ เด่วแปะลิงค์สายการบินไว้ให้ที่นี่เลย: http://www.vietjetair.com/Sites/Web/th-TH/Home

บินกันแบบเก๋ๆ นั่งๆ นอนๆ กันไป แป๊บเดียวถึงครับ ชั่วโมงกว่าๆ จากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ เป้นอะไรที่ไม่เสียเวลามากสำหรับ 700 บาทที่เสียไปถือว่าคุ้มค่าและพีคโคตร หากระเป๋าของตัวเอง แล้วเดินออกมานอกสนามบิน โบกรถแดงแล้วบอกเฮียแกว่า

“เพ่!! ไป Eastin Tan Chingmai ครับ”

คนละ 40 บาทขาดตัว ผัวไม่มีก็ไปได้ นั่งหลังกระบะ ชมเมือง ดมกลิ่นไอหมอกกลิ่นทอดไข่ดาว ควันธูป ควันรถเหี้ยอะไรมาหมดครับ หลังๆ มานี่เชียงใหม่รถติดโหดสัส รัสเซีย จอเจีย เนปาลเอามากๆ ระหว่างการเดินทาง ก็เลยทำความรู้จักกับแขกรับเชิญที่เราเชิญมาเที่ยวด้วย เราเชิญ มีน เดอะวอยซ์สี่ มาเที่ยวด้วยครับ และกะจะทำรายการสนุกๆ ออกมาให้เพื่อนๆ ดู เด่วคงได้ดูกันเร็วๆ นี้

ไม่นานนัก พี่ๆ เค้าก็ขับมาจอดตรงข้าม Maya Chingmai ครับ ตึก Eastin Ton Chingmai ตั้งตระหง่าหน้า Think Park เลย โอ้โหหหห ถ้าทำเลมันจะดีขนาดนี้ ขึ้นไปดูห้องพักกันเลยดีกว่า ว่าแม่งจะพีคเหมือนตกเครื่องบินมั้ย ๕๕๕๕




เรามีเพื่อนอยู่เชียงใหม่ครับ บ้านมันรวย มันเช่าห้องที่ Eatin Ton Chiangmai ไว้ ก็เลยอาศัยร่มบุญบารมีมันพักที่นี่นี่แหละ ราคาห้องพักของที่นี่ ต้องบอกว่าวันละพันถึงสองพันกว่าบาทเท่านั้นครับ แต่ๆๆๆ แต่เมิงต้องพักอย่างต่ำ 30 วัน เพราะฉะนั้น ห้องๆ หนึ่งตกต่อเดือน ก็จะอยู่ที่ราวๆ 30,000 -70,000 บาท ไล่วนไปค่ะ คือเหมาะสำหรับ คนระดับกลางแบบเกือบรวย ถึงรวยแล้วมาจองทิ้งไว้เผื่อให้ลูกหลานญาติพี่น้องมาพักตากอากาศ หรือใครว้อนท์อยากมีห้องพักเฉยๆ ก็มาเช่าทิ้งไว้ก็ไม่เสียหาย






บรรยกาาศขอไม่พูดถึงมาก เพราะด้วยตัวโลเคชั่นที่พีคแล้ว คงไม่ต้องบรรยายว่ามันมีอะไรให้ทำข้างล่างบ้าง สำหรับห้องพัก หลักๆ ก็จะมีอยู่สามาประเภทด้วยกันคับ ก็จะมี Superior Premium, One Bedroom Suite, Two Bedroom Suite และ Three Bedroom Suite ครับ ซึ่งแต่ละห้องก็ต้องบอกว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างนิ Premium ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ โซฟา โซนทำกับข้าว เตียงหนอนหมอนมุ้ง คือเรียกได้ว่าสมกับที่เห็นห้องพักสี่ดาวจริงๆ



แล้วคือที่เด็ดและขอเคลมสำหรับที่พักแห่งนี้คือ ทุกห้องมีอ่างแช่จากุสชี่เก๋ๆ ครับ แล้วก็มีโถส้วนไฟฟ้าแบบญี่ปุ่นทุกห้อง กดฉีด กดสะบัด กดปรับอุณหภูมิฝารองนั่งได้หมด คือพีคจริง ขอนอนก่อน อ่อ สำหรับใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ตามเข้าไปดูในลิงค์นี้ได้เลย: http://www.eastinhotelsresidences.com



คือต้องบอกว่าชิลไปครับ นอนกันจนถึงเที่ยงเลย แล้วลุกออกมาหาอาหารทานเล่นด้านล่าง ซึ่งด้านล่าง Eastin Ton ก็จะมีร้านๆ หนึ่งชื่อ T-Station ครับ เป็นร้านที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก USA อยากทำร้านให้เหมือนสถานีรถไฟปี 19 อะไรไม่รู้ จำไม่ได้ นั่นแหละ อาหารส่วนใหญ่เลยเป็นสไตล์อเมริกันจ๋าเลยแหละ ยังไงใครอยู่แถวนั้น ลองแวะไป เพราะรสชาติเหมือนแดก a little Wendy’s อยุ่ New York เลยเมิงเอ้ยยยย

ต่อจากของคาว ก็ต้องตบอัดด้วยของหวานครับ มีร้านข้างเป็นของพี่โน็ตอุดม จำชื่อร้านไม่ได้ แต่คุ้นๆ ว่า Local อะไรสักอย่าง หน้าร้านมีรูปปั้นแมวดำตัวอย่างใหญ่ เปิดเข้าไปก็ต้องอึ้งกับดีไซน์เก๋ไก๋บ้าบอตามประสาแกครับ ตรงหน้าฟร้อนท์สั่งอาหารแม่ง เอาฝาประตูรถมาตัดแปะเป็นกระเบื้อง โคมไฟก็ใช้เลื่อยตัดเอาโซนหัวถังแก็สมาทำ คือพี่แกคิดอัลไลลลล ฮาๆๆ ส่วนอาหารของพี่แกรสชาติแย่บ้าง ดีบ้างครับ ขอไม่โฟกัสแล้วกัน ก็ลองสั่งๆ มาดู เมนูขึ้นชื่อของเค้าถ้าจะไม่ผิดจะเป็นเค้กแตงโมครับ คือมันก็แปลกนะหน้าตาดูหน้าทาน แต่คือรสชาติไม่ไหวว่ะ ไม่อร่อยเลยยยย จากใจของผมที่กินมานะ หรือวันไหนเชฟเค้าอาจอารมณ์เสีย ยังไงเพื่อนๆ ลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วกัน อยู่ข้าง Think Park เลย เจอแน่นอน

กลับมานอนต่อที่ห้องแล้วคุยกันว่า เด่วสี่โมงเย็น จะขับรถไปดูพระอาทิตย์ตกที่ม่อนแจ่ม ตั้งปลุกไว้สี่โมง คือหลังจากที่เราทานของหวานเสร็จ เราก็ไปเช่ามอไซต์ไว้ไง คันละ 300 บาท ของ Bikky ก็นั่นแหละ นาฬิกามันปลุกแล้วตอนสี่โมง แต่ขอนอนต่อแป๊บหนึ่ง ตื่นมาอีกที่ อิสัส หกโมงเย็น ๕๕๕๕



เอาล่ะ เอาไง ไปไม่ไป เออ ไม่ไป ไปไม่ทัน ไปดอยสุเทพแทน ๕๕๕ ก็ขับรถกันไปดอยสุเทพ ถึงตอนพระอาทิตย์แม่งตกดินไปแล้ว แต่มันก็มีฟ้าระเบิดมาให้เห็นอยู่ ไปเชียงใหม่มา ๕ – ๖ ครั้งไม่เคยไปดอยสุเทพตอนกลางคืนเลย ครั้งนี้ได้มีโอกาสเห็นดอยสุเทพตอนกลางคืน ก็สวยดีนะ สวยไปอีกแบบ ไปเซียมซีมา ก็ดีด้วย อากาศเริ่มหนาว เราคิดว่าเราควรขับกลับแล้ว ฮาๆ

ระหว่างทางจะมีจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ครับ แนะนำมากๆ ให้เพื่อนๆ มาที่จุดนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดจะจอดรถถ่ายหรอก เพราะมันหนาว แต่ด้วยวิว ด้วยแสง มันเลยดึงดูด และทำให้เราจอดนั่งมองวิวอยู่ตรงนี้นานพอสมควร

อาบน้ำแต่งตัเสร็จ ก็เดินทงาไปที่ถนนคนเดินวัวลายครับ ถ้าวันเสาร์จะเป็นวัวลาย วันอาทิตย์จะเป็นท่าแพนะ ก็คิดว่าหลังจากเดินเสร็จจะไป Night Life เชียงใหม่เสียหน่อย แต่แม่งร่ายกายไม่ไหวตอนมานวดกับพี่ๆ ที่มาเปิดบูธข้างๆ ถนนคนเดินนี่แหละ นวดจนกูเคลิ้มอยากหลับเลยยย ช่วงนั้นคือไม่มีภาพเลยครับ ขี้เกียจถ่าย ๕๕๕

ทริปมันโหดครับ เรานัดกันว่า ตีสี่ เราจะตื่นขึ้นมาขับรถไปบ้านระเบียงดาวครับ ตื่นมาตีสี่ได้ครับ คราวนี้ แต่ก็มาปิดนาฬิกาปลุก และตื่นกันมาอีกทีตอนหกโมงเช้า ๕๕๕๕ ทริปอะไรวะ ไม่มีความมีระเบียบวินัยเลย ก็คุยกันว่า เอาไงเมิง จะไปแค่ม่อนแจ่มมั้ย หรือยังไง แต่ยังไงก็ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นแน่ๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจบิดรถไปบ้านระเบียงดาวครับ



สองชั่วโมงกว่าๆ ท้าลมหนาว มาถึงบ้านระเบียงดาวก็ต้องสะดุดตา ไม่ว่าจะมาเช้า มาสาย มาเย็น ที่นี่ยังสวยงามเสมอ สั่งอะไรร้อนๆ มานั่งคุยกันกับบรรยากาศแบบนี้ เป็นอะไรที่ดีงามสุดๆ แล้ว และผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก ให้ภาพมันบรรยายความสวยของตัวมันเองดีกว่า


ระหว่างที่จะเดินทางต่อไปถ้ำเชียงดาว ก็มีโอกาสได้คุยกับชาวบ้านกระเหรี่ยงมูเซอแถวนั้นครับ ได้ศึกษาเรียนรู้ที่มาการตั้งรกรากถิ่นฐานของพวกพี่ๆ เค้า ถามข่าวคราววงในเกี่ยวกับรีสอร์ทบลาๆ จนพี่แกชวนกินข้าวด้วย แล้วอาหารที่เราได้ทานคือเรียกว่าพื้นเมืองสุดๆ

ลงมาไม่นาน ก็มาเจอถ้ำเชียงดาวครับ ถ้ำเชียงดาวเสียค่าเข้าคนละ 20 บาท ครับ ซึ่งภายในถ้ำจะะต้องเช่าตะเกียงดวงละ 100 บาท เพื่อให้พี่ๆ อาสาชุมชนพาเราเดินดูถ้ำครับ ภายในถ้ำมืดมากกกก ถ้าไม่มีตะเกียงคือมองไม่เห็นอะไร ทางเดินก็ลื่นด้วย แต่ที่ผมอยากติคือ ชาวบ้านและชุมชนที่นี่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวสัมผัสกับหินงอกหินย้อยกันแบบไม่มีความรู้ครับ

หินงอกหินย้อยเนี่ย กว่ามันจะผุดดอก หรือหยอดย้อยออกมาได้แต่ละมิลมันใช้เวลาหลักปีครับ แล้วคือผิวกายเราเนี่ย มันมีเนื้อเยื่อตัวหนึ่งที่ไปชะลอและทำลายการเจริญเติบโตของพวกหินงอกหินย้อยครับ นอกจากเค้าจะไม่เพิ่มความสูงหรือปริมาณแล้ว ยังทำให้เค้าตายและเปลี่ยนสีจากขาวเป็นดำอีกด้วย ยังไงรบกวนนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ

ภายในจะมีพระพุทธรูปนอนอยู่ รวมถึงมีศาลปู่คำแดงที่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอนาเขตเชียงดาวทั้งหมดตั้งแต่อาณาจักรล้านนา อย่างไรก็ตาม หากศรัทธา อย่าลืมเข้าไปกราบไหว้บูชา และให้สิ่งศักดิ์เหล่านั้นคุ้มครองการเดินทางของเราครับ ทริปของเราเป็นทริปง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก ไปพักผ่อนกันจริงๆ หวังว่ามันจะเป็นไกด์ไลน์ให้เพื่อนได้ในบางแง่บางมุมครับ เชียงใหม่ยังมีอะไรใหม่ๆ อีกเยอะให้เราได้บินกลับมาครับ แล้วเจอกันระหว่างทาง

:: follow us ::

Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/

#palapilii
#wanderlust
#YOLO

Leave a Reply

*