รีวิวเที่ยวแคนาดาเดือนเมษายน กับ 3 เมืองสุดชิค ในร่องเขา Canadian Rockies (Lake Louise – Banff – Canmore) 

ทริปนี้บอกเลยว่าห้ามพลาด เราจะพาเพื่อน ๆ เดินทางไปเพียง 3 เมือง ที่สามารถบินลง Edmonton แล้วเช่ารถขับลงมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อเที่ยว 3 เมืองสุดชิค ที่เต็มไปด้วยวิวพันล้าน  ไม่ว่าจะมาหน้าร้อน ฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูหนาว ก็สามารถเที่ยวได้หมดทุกฤดู ซึ่งแต่ละฤดูก็มีความสวยที่แตกต่างกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สรุปก็คือ มึงมาสัก 3 ครั้ง นั้นแหละ ๕๕๕๕๕ ซึ่งภาพที่เพื่อน ๆ เห็นในบทความนี้ เราเดินทางกันช่วงเดือนเมษายน โดยในบทความนี้ จะประกอบไปด้วย

  • แนะนำรูทการเดินทางสำหรับคนที่ไม่ต้องการเริ่มต้นทริปจาก Vancouver
  • แนะนำการจองตั๋วเครื่องบิน
  • ค่าเงิน
  • เวลา
  • สภาพภูมิอากาศและเดือนที่น่าไป
  • แนะนำการเช่ารถขับเอง
  • การยื่นวีซ่าออนไลน์อย่างง่าย
  • สถานที่ท่องเที่ยวจุดสำคัญ 3 เมือง

ซึ่งสามเมืองที่เราจะพาเพื่อน ๆ ไป ก็จะมี Lake Louise, Banff และ Canmore ยอมรับมาเถอะว่าหลายคนไม่คุ้นหูกับสองเมืองสุดท้าย และแน่นอนว่า ครั้งนี้ เพื่อน ๆ จะได้รู้จักเมืองนี้มากขึ้น โดยผ่านจากกิจกรรมของเรานี่แหละ 

Fly abroad right with Traveloka! Budget Friendly – Favorite Airlines – Refund Guarantee
บินอินเตอร์แบบที่ใช่กับ Traveloka! ราคาถูก(ใจ) – สายการบินที่ชอบ – เปลี่ยนใจ ไม่บินก็คืนเงิน

การจองตั๋วเครื่องบิน 

เอาล่ะ เราจะมาเริ่มเรื่องการเดินทางจาก ไทย ไปแคนนาดาก่อนเลย ก็คือ ให้เพื่อน ๆ Search หาตัวบินผ่าน Traveloka เหตุผลที่ผ่าน Traveloka เพราะมีหลายสายการบินมาก ที่เข้าร่วมกับทางเว็บฟ้า อีกทั้งการจัดการหรือบริการหลังการขาย ยังติดต่อง่าย เวลาที่มีปัญหาอะไร ก็สามารถโทรหา Call Center ในไทยได้เลย  

บินอินเตอร์แบบที่ใช่กับ Traveloka! ราคาถูก(ใจ) – สายการบินที่ชอบ – เปลี่ยนใจ ไม่บินก็คืนเงิน ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะต้องต่อเที่ยวบินหลายเที่ยวหน่อย แต่ถ้าเอาให้สะดวกที่สุด ก็คือ หาตั๋วบินมาลง Edmonton เลย ยังไงลอง Manage การเดินทางของเพื่อน ๆ ดูนะครับ และสุดท้ายก่อนบิน สามารถเช็คมาตรการสนามบินก่อนเดินทางไปแคนาดา กับ Traveloka ได้ที่นี่ (https://www.traveloka.com/th-th/flight/safe-travel)

ค่าเงิน

สำหรับตรงนี้ 1 CAD = 25 THB แนะนำให้แลกเป็น CAD ไปใช้ที่นั่นให้หมด ไม่ต้องเผื่อเป็น USD นะ และสมควรแลกไปจากไทย เรทไม่ต่างกันมาก สะดวกต่อการเดินทางโคตรๆ ไม่ต้องพะวงด้วย เราแนะนำ Superrich สีเขียว สาขาไหนก็ได้ ดีหมด เรทดีกว่าทุกเจ้า ๕๕๕๕

เวลา

เมืองนี้มีอยู่ 7 เขตเวลา ซึ่งเวลาที่แวนคูเวอร์จะช้ากว่าบ้านเรา 15 ชั่วโมง ส่วนที่เอดมันตันจะช้ากว่าบ้านเรา 14 ชั่วโมง

สภาพภูมิอากาศและเดือนที่หน้าไป

สภาพภูมิอากาศที่นี่ค่อนข้างที่จะสุดโต่งครับ ที่นี่ถ้าหนาวก็จะหนาวสูงราวๆ -30 องศา หรือถ้าร้อน ก็จะร้อนผ่าวถึง 40 องศาเลยทีเดียว หน้าหนาวจะอยู่ที่ต้นเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมีนาคม และหน้าร้อนจะอยู่ที่กลางเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน ซึ่งช่วงกลางเดือนกรกฏาคมนี่แหละ ที่อากาศที่นั่นจะร้อนเหมือนอินเดียเลย ฮาๆๆๆ

ซี่งถ้าหากจะถามว่า มาแคนาดาควรเที่ยวหน้าไหน อันนี้ไมตอบไม่ได้จริงๆ คือมันสวยทุกฤดูเลย อย่างที่เรากำลังจะไปหน้าหนาว มันก็สวยอีกแบบ และมีกิจกรรมมา support อีกแบบ หรือถ้าจะไปหน้าร้อน ที่นี่ก็จะเป็นสวรรค์บนโลกในอีกพาร์ทที่ห้ามพลาด และมีกิจกรรมที่ดีงามเลิศเลอเพอร์เฟ็คอย่างขีดสุด แต่หน้า high บัดเจ็ทก็จะ high ตามไปด้วย เป็นธรรมชาติของโลกใบนี้ ๕๕๕๕

การเช่ารถ 

คือต้องดูจำนวนคนด้วยนะ ว่าจะไปกี่คน และดูด้วยว่าจำเป็นจะต้องรถบ้านไหม เพราะรถบ้านจะต้องออกไปรับถึงนอกเมืองเลย หรือมีบางเจ้าใจดีมารับที่สนามบินอันนั้นก็ว่ากันไป แต่ว่าราคาโหดมากกก ซึ่งในทริปนี้เราไม่สามารถไปรถบ้านได้ สู้ราคาไม่ไหวเพราะไปกันสองคน ก็เลยตัดสินใจจองรถธรรมดา และรถธรรมดานี่แหละ กลายเป็นความคล่องตัวที่ดีมากๆ อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งก็สามารถเช่าได้ที่สนามบิน หรือในดาวน์ทาวน์ของตัวแวนคูเวอร์ก็ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับแพลนของเราล้วนๆ ซึ่งถ้าเป็นรถเช่าทั่วไปก็จะแนะนำเป็นของ AVIS CANADA แต่ถ้าเป็นรถบ้านแนะนำของ CANADA DREAM เลยครับ

ราคาเช่ารถของแคนนาดาไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลย การเดินทาง Road Trip เบา ๆ ในแคนนาดา ขอบอกว่าสำหรับรูทที่เราจะรีวิว เพื่อน ๆ สามารถใช้รถอะไรก็ได้ครับ แต่จอเป็น Sedan++ ไม่เอา Compact นะ เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา และไม่ต้องห่วงเรื่องการไม่คุ้นชิน ที่นี่ขับพวงขวาเหมือนบ้านเราเลย 

การขอวีซ่าแคนนาดา

สามารถเลือกยื่นคำร้องขอวีซ่าประเทศแคนาดาได้ 2 วิธี คือการยื่นวีซ่าผ่านระบบออนไลน์ของรัฐบาลแคนาดา (GCKey) และการยื่นเอกสารผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า (VFS) ตามความสะดวกเลย ซึ่งในรีวิวนี้ จะแนะนำให้ขอแบบออนไลน์นะครับ ก่อนอื่นเข้าไปโหลดแบบฟอร์มวีซ่าท่องเที่ยวที่นี่ก่อนเลย: http://www.cic.gc.ca/english/pdf/kits/forms/IMM5257E.pdf จากนั้นเพื่อน ๆ สามารถทำตามขั้นตอนในลิ้งค์นี้ได้เลย: ขอวีซ่าแคนนาดา

ระยะเวลาในการเที่ยวที่เหมาะสม

จริงๆ แล้วเรื่องนี้เนี่ยโคตรสำคัญเลย เพราะการจะเที่ยวให้ได้ทุกมุม ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกที่ทั้งเชิงลึกเชิงรักลงหลักปักถิ่นฐานนานๆ ไปเลยเนี่ย มันก็จะดูโหดร้ายเกินไปกับคนที่บ้าน ฉะนั้นการมาเที่ยวที่นี่ ไมเลยจะขอแบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ดังนี้

1.Chill on the raod คือ type นี้ประมาณว่า ขับรถกินลมชมวิว แวะตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ หรือแลนด์มาร์คต่างๆ ตั้งแต่ Jasper – lake louise – Banff เป็นทริปคูลๆ ที่ไม่ได้บู๊หนัก เน้นถ่ายรูปสวยๆ กินอะไรแปลกๆ แต่แค่นี้ก็สวยมากแล้วจริงๆ ถ้าจะมาประมาณนี้  5  วันเอาอยู่ (รวมเดินทางไปและกลับ)

2.Just a road trip ตัวนี้จะประมาณแบบ Chill on the road แต่บวกเพิ่มพวกกิจกรรมในที่สำคัญต่างๆ เข้ามา เช่น นั่งรถถือ Athabasca Glacier เดิน Sky walk ร่องเรือที่ Malyne Lake พายแคนูที่ Lake louse อะไรแบบนี้ ตรงนี้แนะนำว่าต้อง 7 วัน

3.Real Road Trip ตัวนี้คือตัว Just a road trip ที่บวกทริป Trekking ระหว่างทางเข้ามา หรือทริปลุยป่า ทริปลงลึกไปตามชุมชนตรงนี้อยู่สัก 14 วันกำลังดี เพราะในถนนสายนี้มีจุด Trekking และกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ได้เขียนรีวิวไว้เยอะมาก เพราะกิจกรรมพวกนี้ต้องใช้เวลา อย่างทะเลสาบบางที่ในรูทนี้ การที่จะไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่งยังต้องเดินไกลถึง 9 km เมตรเลย ฉะนั้น 14 วัน กำลังดีเลยล่ะ และรับรองว่าจะได้ซึมซับสิ่งมีค่าที่นั่นได้อย่างดีที่สุด

แต่เอาจริงๆ แล้วไมว่าทั้ง 3 Type นี้คงไม่พอหรอก เพราะเมืองนี้และรูทนี้ จะทำให้เพื่อนๆ หลงรักที่นี่อย่างแรงเลยล่ะ เชื่อผมสิ อ่านมาถึงตรงนี้คิดว่าเพื่อนๆ น่าจะเที่ยวแคนาดารูทนี้ได้ง่ายขึ้นไม่มากก็น้อยเลยล่ะ ซึ่งอย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นว่าไมเดินทางไปในช่วงปลายเดือนหนาวแล้ว ที่นี่จึงยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ ทำให้แพลนทริปการมาพายคายัคบนทะเลสาบสีฟ้าของเราจึงต้องพับเก็บไว้คราวหน้าแล้วมาลุยกิจกรรมในปลายหน้าหนาวของที่นี่แทน เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดู Highlight ทริปนี้ของไมกันเลย!!!

สถานที่ท่องเที่ยว 

รอบนี้เราจะเน้น 3 ที่หลักนะ จะไล่จากซ้ายไปขวาตามแผนที่ นั่นคือ Lake Louise > Banff > Canmore ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราไปในช่วงเดือนเมษายน ฉะนั้นแล้ว วิวที่เห็นก็จะค่อนข้างขาวโพลน แต่เป็นขาวโพลนที่ต้องบอกว่าสวยเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปดูเมืองแรกกันเลยดีกว่า 

Lake Louise 

ที่แรกที่เราจะมาแนะนำคือ Lake Louise ชื่อดังของ Canada ที่มีภาพติดตาเป็นคนพายคายัคบนน้ำใสสีคริสตัลท่ามกลางป่าสนและแบ็คกราวน์เป็นภูเขาหินยอดน้ำแข็งด้านบน บอกเลยว่ามันสุดยอดมาก ๆ แต่ภาพที่บรรยายไปสักครู่นี่คือช่วง Summer ครับ พอเรามา Winter ก็จะได้เล่นกิจกรรมอีกแบบ 

ที่แรกที่เราจะแนะนำคือ Lake Louise ตามตัวเลย แต่ไม่ได้จะมาพายคายัคนะ เพราะเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว เราจะพาเพื่อน ๆ ทุกคนมาเล่น Ice skate น้ำแข็งบนทะเลสาบ Louise เป็นไง เก๋ไหม 

ซึ่งเราตั้งเป้าหมายไปที่ Fairmont Château Lake Louise ภายในมีที่เช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบครัน ทั้ง Skate และหมวกกันน็อคครับ ตัวราคาจะอยู่ที่ 23 CAD สำหรับ 4 ชั่วโมง และ 33 CAD สำหรับ 8 ชั่วโมง ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ช่วงหน้าหนาว จะเปิดตั้งแต่ 7:30 am – 8:00 pm ครับ เพื่อน ๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทางลิ้งค์นี้เลย https://www.chateaulakelouiserentals.com/

เราเดินมาจนถึงลานสกี ซึ่งก็คือทะเลสาบนั้นแหละ จากนั้นก็สวมอุปกรณ์เลยครับ ต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่เคยเล่นมาก่อน แต่อยากลองเล่น และอยากเก็บภาพสวย ๆ ด้วย มั่ว ๆ กันไป ล้มบ้าง เป็นธรรมดา 

มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้จริง ๆ เป็นการเล่น Ice skate ครั้งแรก ที่วิวสวยสุด ๆ จนแทบหยุดหายใจ ให้ไปอีกรอบก็ไปนะ แต่รอบหน้าขอหน้าร้อนเลย 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากไป แต่คงต้องพับเก็บ ก็คงจะเป็น Moraine Lake คือหิมะปิดทับถนน เข้าไม่ได้เลย เสียดายมาก แต่ก็อย่างว่า มันเป็นสถานที่ที่ต้องไปหน้าร้อน ถึงจะสวย หิมะแบบนี้ ภูเขาสวย ๆ แบบนี้ ใช่ครับ Snowboard ต้องอยู่ในลิสต์ 

DCIM100GOPROGOPR0522.JPG

ที่เมืองนี้มีลานสกี & สโนบอร์ดที่สวยมากเลยนะ คือในเอง Lake Louise เองก็มีร้านให้เช่าอุปกรณ์อยู่ร้านหนึ่ง คือเค้าบอกว่าต้องเช่ามาจากในเมืองก่อน ไม่งั้น ตรงลานสกีจะมีขายแค่ Lift Ticket  หรือถ้ามีราคาเช่าก็จะแพงมาก เอาจริง ตอนไปผมจำไม่ได้เลยว่าเช่าร้านไหน คือมีให้เช่าทั่วเมือง แต่หากเพื่อน ๆ ต้องการแพลนก่อน สามารถเช่าผ่านเว็บนี้ได้เหมือนกัน อุปกรณ์ค่อนข้างโอเคเลย: https://www.chateaulakelouiserentals.com/

ราคาเช่าอุปกรณ์ก็กลาง ๆ ถึงแพงครับ จะอยู่ที่เรทช่วงเรทเริ่มต้นครึ่งวันที่ 53 CAD หรือหากเต็มวันจะอยู่ที่วันละ 65 CAD และตั๋วลิฟท์ก็ซื้อหน้างานได้ คือราคาลิฟท์ต้องอัพเดทตอนไปกันเอาเองอีกทีนะครับ ตอนนั้นไปกับคุณแฟนสองคน บอกเลยว่า นางเล่นไม่เป็น ต้องไปสอนนางก่อน ใช้เวลาสอนไป 1 ชั่วโมงเลยตอนนั้น จำได้ว่านางกลัวจนร้องไห้เลย (เอาจริง ตอนพิมพ์รู้สึกเสียใจที่นางกลัว แต่ก็ยังบังคับให้นางเล่น) 

และแล้วเวลาสำคัญก็มาถึง เราขึ้นลิฟท์ไปยังจุดสูดสุงของภูเขาเพื่อไถลลองมาครับ ระหว่างขึ้นไปหิมะตกหนักมาก น่ากลัวมากกกก แต่ก็อยากไป และพอไปถึงนะ มันสวย โล่ง เปรี่ยวในใจเหลือเกิน จนแฟนผมขอตัวไม่ไถลลง เพราะไม่มั่นใจว่าจะลงมาได้ไหม 

นางก็เลยขอนั่งลิฟท์กลับลงไป ส่วนผมนะหรอ ไถลต่อเลยฮ้ะ แล้วคือวิวสวยมากกกกกกกก //ต้องบอกงี้ว่าตอนเล่นไม่ได้เอากล้องไปนะ ที่เห็นเป็นมือถือถ่าย ภาพก็จะได้ประมาณนี้ แต่ขอบอกไว้เลยว่า Lake Louise หน้าหนาว ก็มีดีไม่แพ้กันเลย มีโอกาสก็อยากให้ไปกันงับ 

Banff 

มาต่อที่เมืองที่สอง ที่นี่เราตั้งใจมา Dinner บนภูเขาน้ำแข็งครับ ถึงขั้นจองไว้ก่อนมาเลย โดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เมืองที่นี่ สวยมากกกกก เอาจริง รูทเต็มของผมคือขับมาตั้งแต่ Vancouver แล้วล่ะ แต่เมืองที่หลงรักมากที่สุดคือเมืองนี้ เพราะมันเป็นเมืองน่ารัก แบบน่ารักจริง ๆ 

มันเล็ก แล้วก็ดูมีกลิ่นอาย something ที่แบบ อยากอยู่นาน ๆ นั่นแหละ เราหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายบ่อยหน่อย แต่ตอนนั้นก็คือมือสั่นหมดเลยนะ เพราะแค่เอามือออกจากถุงมือ ก็ชาแล้วจ้า ซึ่งจะบอกว่าตอนที่เราไป Banff ค่อนข้างพิเศษกว่าที่อื่น ๆ เพราะเราไป Camping ที่ Two Jack Lakeside ครับ วิวดีมาก

ตรงจุดนี้เอง ห่างจากตัวเมือง Banff ราว ๆ 15-20 นาทีเท่านั้นครับ ปกติ Summer ผู้คนจะมา Camping, Trekking และ Chill out กันที่นี่เยอะมาก แต่ด้วยความที่ว่าเราอยากมีฟีล Camping ริมทะเลสาบวิวภูเขาน้ำแข็งบ้าง ก็เลยตั้งใจมาพักกันที่นี่ และเตรียมอาหารอย่างง่ายมาทานกัน

ซึ่งต้องบอกแบบนี้ว่า ช่วงที่เราไปเป็น กลางเมษาแล้ว ฉะนั้นอากาศจะหนาว แต่ไม่มาก มีลองจองหนา ๆ เสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ก็เพียงพอแล้วครับ นอนกอดกันก็คือลดความหนาวไปเยอะเลย ส่วนเต้นท์ เราไม่ได้เช่าครับ เราเตรียมกันมาเองจากไทยเลย บรรยกาศโคตรดีบอกเลย จริง ๆ แถวนี้มี Homestay ด้วยนะครับ มาพักได้ ชิลมากกกก สุดท้าย ทุกอย่างที่พิมพ์มาด้านบน ผมโกหก!!! ใครมันจะไปนอนได้ครับ หนาวฉิบหาย ๕๕๕๕

ความจริงคือ เราขนเต้นท์ไปจากไทย เพื่ออยากจะได้ภาพแบบด้านบนกลับบ้านครับ เลยได้ location Two Jack Lake นี่แหละ จากนั้นก็ขน Breakfast จากที่พักที่พักเมื่อคืน หมอน ผ้าห่ม ยกขึ้นรถแล้วขับไปที่ Lake จากนั้นก็กางเต้นท์จัดฉากประหนึ่งว่า กูนอนที่นี่ คืนนี้นะ ๕๕๕๕ เป็นไง เนียนป้ะ > <

แต่ที่เมืองนี้ มีกิจกรรมหนึ่งที่เราไปค้นหามาแล้วว่าเด็ด นั่นก็คือ Hot Spring บนภูเขา อันนี้ไม่ต้องจอง ขับไปทางตอนใต้ของเมือง แล้วเลาะเนินเขาไปเรื่อย ๆ จะถึงเลย มีทางเดียว รับรองไม่หลงแน่นอน Search ไปว่า Banff Upper Hot Springs เปิดตั้งแต่ 10:00 am – 10:00 pm แต่แนะนำให้ไปแต่เช้า โคตรสวยเลย!!!

เค้าจะบังคับให้เราใส่กางเกงว่ายน้ำเท่านั้น แล้วก่อนลงก็จะต้อง อาบน้ำล้างตัวกันก่อนด้วย ซึ่งราคาค่าใช้จ่ายก็ตกคนละ 8 CAD สำหรับเด็ก และ 9.25 CAD สำหรับคนโต (ตัวนี้เป็น Single Entry นะ) ซึ่งก็จะมีพวกผ้าเช็ดตัวให้เช่าด้วยผืนละ 2 CAD โดยที่ห้องน้ำก็จะแบ่งชายแบ่งหญิง แล้วออกมาปะกันตรงโซน Hot Pool เลย 

ถ้าให้เรียกชื่อเต็มก็คือ Banff Upper Hot Springs ครับคุณเอ้ยยย วิวดีมาก ดีแบบ ให้ตายเถอะ นี่มันสวรรค์ชัด ๆ เราแช่กันนานมากเลย แต่เค้าก็แนะนำว่าไม่ควรเกิน 15 นาทีเพราะจะทำให้ผิวแห้ง คุณ คือมันดีเว้ย 

เสร็จจากตรงนั้นเราก็ตีตั๋วนั่ง Cable car ขึ้นไปด้านบนต่อเลย เรียกได้ว่า จอดที่เดียว เก็บครบหมด ที่นี่ search ง่าย ๆ ว่า Banff Gondola ครับ ตั๋วราคา 55 CAD แบบ Return Ticket ขึ้นไป ก็จะมีโซน View Point ให้เราชมครับ บอกเลยว่าลมแรงมาก ๆ ซึ่งด้านบนก็จะเป็นอาคาร และร้านอาหารรองรับด้วย 

อย่างที่บอกว่าเราจองมา ที่นี่วิวสวยมาก พร้อมกับ ไวน์ และอาหารรสเลิศที่ไม่อยากให้คุณได้พลาดเลยจริง ๆ ถ้ามาเมืองนี้ เรียกได้ว่า ตั้งใจมาที่นี่ เพราะสิ่งนีร้เลย 

นี่คือบรรยากาศในห้องอาหาร Sky Bistro (Upscale Dining atop Banff Gondola Summit และจะบอกว่าพนักงานทุกคนบริการดีมาก ๆ สิ่งหนึ่งที่เราชอบใจคือ บรรยากาศที่ทุกคนมาที่นี่ เค้ายิ้มและมีความสุขกันทุกคนที่นั่งทานข้าวเลยอ่ะ เราเลยรู้สึกว่า นี่สินะ ที่เงินซื้อได้ ฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่าง จริง ๆ แล้วก็ยังต้องใช้เงินอยู่นั่นแหละ ๕๕๕๕ 

แล้วคือเอาจริงป้ะ อาหารเค้าไม่ได้แพงเลย แต่คือถ้าแพงก็ยอมจ่าย ไปขนาดนี้แล้ว มันเป็นประสบการที่ดีสุด ๆ ไปเลย ที่สำคัญเพื่อน ๆ สามารถเช็กเมนูและราคาอาหารก่อนไปผ่านได้ Official Website เค้าได้อีกด้วยนะ รวมถึงจองโต๊ะด้วย ผ่านทางนี้เลย https://www.banffjaspercollection.com/dining/sky-bistro/our-menu/ นี่ตอนเขียนรีวิวก็ยังจำความรู้สึกดี ๆ ตอนนั้นได้อยู่เลย อยากกลับไปอีก ๕๕๕

เอาล่ะ บอกเลยว่าเมือง Banff เป็นเมืองทีห้ามพลาดจริง ๆ เป็นเมืองที่ไม่คิดว่าจะมีของเยอะขนาดนี้ และอีกเมืองต่อไปที่เราอยากจะนำเสนอเพื่อน ๆ ก็คือ Canmore จะมีอะไรน่าตื่นเต้นนะหรอ เลื่อนอ่านต่อเลย!!!

Canmore 

เอาเข้าจริง ๆ Canmore เป็นอีกเมืองที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะไป แต่ด้วยความที่ Canmore มีกจกรรมหนึ่งที่ผมอยากทำมานานมาก ๆ แล้วในชีวิต นั่นคือ Dog Sledding ซึ่งที่ Lake Louise ก็มีนะ แต่ตอนนั้นวันที่เราไปมันเต็ม บวกกับการไป Canmore จาก inspect ที่ดูมา วิวสวยกว่า และบรรยากาศที่นั่นก็ใหม่เมืองกว่า เลยตัดสินใจไป 

ตอนนั้นจำได้ว่าค่าใช้จ่ายตกคนละ 525 CAD ใช่ ค่อนข้างแรงเลย แต่บ้านเราไม่มีให้ทำเนอะ เราก็เลยตัดสินใจไปนั่นแหละ ก็บินไปถึงแล้ว เงินหาใหม่ แต่โอกาสที่จะได้กลับมาที่นี่อีกมีไหมเนี่ย ตอบยากเลย ซึ่งทริปนี้ เราใช้บริการของ Snowvy Owl Tour

คืนก่อนเราพัก Banff แล้วเดินทางต่อไปที่ Canmore จุดนัดพบราว ๆ 30 นาทีได้ครับ ถนนที่นี่ขับสนุก แบ่งเลนส์สำรหับทางระยะไกล ออกจากระยะใกล้ ทำให้การขับรถที่นี่ใช้ความเร็วได้อย่างเมามันส์ แบบที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรมาข้ามถนน หรือมีอะไรที่ไม่ควรอยู่ในถนนมาทำอันตรายให้กับเราไหม 

เมือง Canmore สวยเหมือนกันแหะ ระหว่างทางก็มีจอดรถถ่ายกับวิวแม่น้ำที่มีฉลากหลังเป็นภูเขาด้วย เรานัดเจอทีมงานในตัวเมืองครับ เพื่อที่จะได้นั่งรถตู้ขึ้นเขาไปพร้อมกัน 

ช่วงเวลาดี ๆ ก็มีถึง รถตู้ 10 ที่นั่ง พาเราขับผ่านแม่น้ำ และเลาะไหล่เขาไปเรื่อย ๆ ไปยังจุดที่เป็นทะเลสาบ ที่น้ำมันเป็น Glacier ด้วย และป่าสนซ้อนกัน บรรยากาศดีมากบอกเลย ระหว่างทางสวยจริง ๆ ผมหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวิวไม่หยุด จนเหนื่อยไปเอง และเริ่มเมารถ เพราะทางโค้งเยอะมาก 

ราว ๆ เกือบ 45 นาที ก็เดินทางมาถึงครับ ทรงเป็นแคม์เล็ก ๆ และมีรถขนหมาเสียงเจี๊ยวจ้าวเต็มไปหมดราว ๆ 3-4 คัน (เรามากัน 10 กว่าคนครับวันนั้น จอยกรุ๊ปกัน) น้อง ๆ น่ารักมาก บางตัวอยู่ในรถ บางตัวในกรง และบางตั๋วก็อยู่ในเชือกลากจูงที่พร้อมให้เราเดินทางไปกับเขา 

ตอนแรกเขาก็จะให้เราเล่นกับพวกมันก่อนครับ พวกมันน่ารักมากกกก เอาจริงก็กลัวโดนกัดอยู่เหมือนกัน แต่พี่เค้าบอกไม่เป็นไรไม่กัดหรอก ภาพที่ได้จึงออกมาน่ารักน่าชังมาก ๆ เลย 

ถึงเวลาที่จะต้อง Sledding คือมันจะเป็นรถลากเลื่อนแล้วให้เรานั่งอยู่ด้านในครับ ช่วงแรกก็นั่งนะ แล้วก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ผ่านวิวป่าสน ภูเขาน้ำแข็ง จนไปเจอทะเลสาบ อันนี้ดิ ของจริง วิวอลังสุด ๆ 

ระหว่างนั้นเลยขอเค้าเป็นคน control หมาบ้าง ก็คือมายืนด้านหลัง สนุกมาก ได้รสชาติอีกอย่างที่ไม่เคยได้ จนไปถึงกลางทะเลสาบ เค้าก็จะปล่อยให้เราใช้เวลาถ่ายรูปให้อิ่มเอมไปเลย แล้ววนกลับมาที่จุดนัดพบที่เดิม 

มาถึงเค้าก็จะตั้งกองไฟให้ไออุ่น พร้อมกับเสิร์ฟชาร้อน ๆ บวก Snack เบา ๆ ให้เราได้นั่งคุยกันกลางป่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลย ผมให้ที่นี่ 8/10 ไปเลย ชอบมาก ๆ 

และนี่คือเรื่องราวและสถานที่ท่องเที่ยวสามเมืองที่ผมอยากจะแนะนำเพื่อน ๆ ครับ ถ้าวันน้อย ไม่ต้องขับรถจาก Vancouver ไปก็ได้ บินต่อไป Edmonton แล้วเช่ารถขับลงมาตามที่ผมแนะนำเลย รับรองว่าไปเจอความสวยแบบไม่ต้องใช้เวลานาน ทริปหน้าไมจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่ไหน ไปทำอะไร แล้วเจอกันระหว่างทางครับ 

ไม 

Leave a Reply

*