พาลูกเพจ ไปเที่ยวจันท์ – CHAN LIFE ALONG THE RIVER

CHAN LIFE ALONG THE RIVER

“ ท่องเที่ยวไปตามสายน้ำ ตั้งแต่แม่น้ำจรดทะเล เรียนรู้วิถีชีวิตตามแหล่งน้ำ และให้สายน้ำเติมเต็มความสดชื่นให้ชีวิต “

เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ได้มาร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวแบบสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ครั้งนี้มาใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีครับ จะพาเพื่อนๆ ไปดูกิจกรรมของบางสระเก้าหนึ่งวันเต็ม ชมชีวิตชุมชนริมน้ำจันทบูร ร่วมสัมผัสและศึกษาระบบนิเวศที่อ่าวคุ้งกระเบน ก่อนที่จะไปจบทริปสวยๆ โดยการดูพระอาทิตย์ตกที่เนินนางพญา…

DAY 1

ทริปนี้เราไปกัน 2 วัน 1 คืน โดยเพื่อนๆ ร่วมทริปส่วนใหญ่จะต้องทำแบบสอบถามที่โพสต์หน้าเพจ และถูกคัดจากเจ้าหน้าที่ของ ททท. อ่า… ลืมบอกไปเลยว่า ทริปครั้งนี้ เราเดินทางร่วมกับทีมงานของ ททท. ครับ การเดินทางครั้งนี้ เดินทางมาเพื่อโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวในแบบชุมชนและเน้นให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่าง Slow Life เดินทางจาก กรุงเทพไปจันทบุรีใช้เวลาราวๆ 4-5 ชั่วโมง ก็ถึงสถานที่แรกของทริปแล้วครับ

บางสระเก้า คือชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่งที่มีศูนย์การเรียนรู้ฯ เพื่อสอนแนวคิดทางการประมงและเกษตรแก่ชุมชน เพื่อสร้างรายได้ และทำให้ชุมชนเอง สามารถประกอบอาชีพได้โดยใช้พื้นที่ของตนเอง ด้วยลำแข้งของตนเอง ไมว่าถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เราจะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากที่นี่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหลังจากที่ฟังเรื่องราวต่างๆ จากพี่สถิต (พี่วิทยากร) ของศูนย์การเรียนรู้เสร็จ เราก็เดินทางไปยังฐานต่างๆ แต่ระหว่างทาง พื้นที่แถวนั้นก็มีกิจกรรมน่าสนใจที่ทำให้เราต้องแวะ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเดินมาไม่กี่ก้าว เราจะได้เรียนรู้ถึงพืชเศรษฐกิจของที่นี้ เรียนรู้ว่าต้นจากคือพืชตระกูลใด ปลูกอย่างไร ใช้อะไรเป็นประโยชน์ได้บ้าง รวมไปถึงนำลูกจากที่สามารถทานได้แล้ว มาลองกะเทาะให้เราได้ทานกันสดๆ อีกด้วย รวมไปถึง ” หอยนางรม “นอกจากที่พี่ๆ เค้าจะให้ความรู้เกี่ยวหอยนางรมแล้วเนี่ย ยังให้เราไปแงะแกะหอยออกจากซอกหิน แล้วมาแงะหอยกินกันสดๆ อีกที ต้องของบอกว่า กินตอนพึ่งเปิดฝากเนี่ย อร่อยสุดๆ ไปเลย

และแล้วก็มาถึงฐานที่หนึ่งสักที  “ บ้านปลา “ คือสถานีที่จะสาธิตวิธีการทำบ้านปลา รวมไปถึงวิธีการดักจับสัตว์น้ำด้วย ปลาคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในน้ำ และหากจะให้ปลารู้สึกว่าสถานที่นั้นๆ น่าอยู่ ก็ควรจะสร้างบ้านให้มัน หากทะเลมีปะการังเทียมแล้ว เหตุไฉนใดเล่า แหล่งประมงน้ำจืดอย่างชุมชนบางสระเก้าจะไม่มีบ้านให้ปลาอยู่ ๕๕๕

ฐานนี้จะพาเพื่อนๆ ทำบ้านปลาครับ ซึ่งบ้านปลาของที่นี่จะเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือทำจากปูนบล็อคสี่เหลี่ยม และใช้ยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว นำไปไว้ที่แหล่งน้ำนั้นๆ เลย ซึ่งพี่ๆ ให้ความรู้ว่า ปลามันก็ต้องการซอกมุม ที่หลบบังภัยอันตรายเหมือนกับคนเรานี่แหละ เพระฉะนั้นตรงไหนมีบ้านปลา ตรงนั้นจะมีปลาชุมมากๆ

หลังจากที่เราได้สัมผัสกับฐานแรก ก็ทำให้เราเริ่มสนุกกันแล้ว ช่วงสาย พี่ๆ พาเราเดินออกไปไม่ไกลมาก ที่นี่คือฐานที่สอง ไปดูแหล่งอนุบาลปู ” พยาบาลปู ” เลี้ยงปู ดูแลปู ซึ่งปูที่อยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นปูที่ยังไม่โตเต็มที่ ต้องการการอนุบาล เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยในระบบนิเวศอันแสนโหดร้าย โลกเรามักเล่นตลก หลังจากที่สอนวิธีการช่วยเหลือปูจบ วิธีจับปูก็มา ๕๕๕

พี่วิทยากรบอกว่าปูที่เราใช้ทานกัน เราจะมีวิธีจับอยู่หลายวิธี ซึ่งวิธีที่จะทำให้ปูปลอดภัย และสมบูรณ์ที่สุดคือการใช้กับดัก ซึ่งน่าเสียดายมากที่เราต้องส่งตัวแทนไป เลยไม่ได้เห็นวิธีการวางกับดักปูทุกคน แต่ก็นั่นแหละครับ ของแถม ไม่ได้มีไว้ให้ทุกคน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้นั่งเรือออกไปวางกับดักปู…

พักเบรคเช้านี้ไว้ที่ฐานสอง เพราะฐานสามและสี่อาจะต้องอาศัยแรงกันหน่อยซึ่งฐานสุดท้ายเนี่ย เราจะพาเพื่อนๆ ออกแพเปียกไปชมระบบนิเวศที่นี่ และลงเล่นน้ำกันพร้อมกับดูพระอาทิตย์ปิดวันแรกของทริปนี้

พี่ๆ เตรียมกับข้าวช่วงเที่ยงไว้ให้เราแบบเต็มโต๊ะ คืออาหารท้องถิ่นเป็นหลัก และที่สำคัญคือ กุ้ง หอย ปู ปลา นั่นเอง เป็นอีกมื้อที่สุดยอดมากๆ ซึ่งหลังจากที่เราเติมพลังกันเสร็จแล้ว ช่วงบ่าย เราจะไปตะลุยฐานที่สามชุมชนบางสระเก้ากัน…

บอกแล้วว่า Slow life ครั้งนี้เรามีคุณลุงคุณป้าขับซาเล้งพาเราทัวร์หมู่บ้านครับ เราจะได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่เรียบง่ายขนาดไหน แต่ก่อนจะเริ่มไปในโซนต่างๆ ที่น่าสนใจของหมูบ้าน เราก็ไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิประจำชุมชนกันที่วัดบางสระเก้าก่อนเลย

ซึ่งภายในวัดก็ดูโอ่อ่า ร่ม เย็น สบาย เหมาะแกการถือศีลรักษาธรรม ทำสมาธิมากๆ นอกจากจะได้มากราบไหว้เอาฤกษ์เอาชัยที่นี่แล้ว เรายังได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาของชื่อชุมชนที่นี่ด้วย ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นมาแบบไหนก็ตามแต่ ไมขอสรุปให้สั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ว่า ในวันนี้ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่เก้าวัด ชุมชนที่นี่เลยตั้งชื่อชุมชนตัวเองให้เป็นบางสระเก้าเสียเลย เป็นไงล่ะ ดิบดีไหม ๕๕๕ แต่ถ้าใครอยากรู้ประวัติที่หลากลายความเป็นมาเพิ่มเติม ยังไงลองไป google นะครับ

จบจากวัด ไม่ใกล้ไม่ไกลชาวบ้านที่นี่ก็จะมีตลาดประจำของตัวเองครับ หากรังสิตมีตลาดสี่มุมเมือง แล้วทำไมบางสระเก้าจะมีตลาดสี่มุมวัดไม่ได้ ๕๕๕๕ ตลกดี แต่ตลาดสี่มุมวัดแห่งนี้มีของขายเยอะ และขายดีมากๆ

ซึ่งฐานที่สามเนี่ยหลักๆ ก็จะพาเพื่อนๆ มาตะลุยชุมชน  พืชนาพืชไร่ การรำสาด การทำเสื่อ ตระกร้ารีไซเคิล บางสระเก้ามีกิจกรรมทำและมีเรื่องราวให้เรียนรู้เยอะมาก นี่ยังไม่จบหนึ่งวันอีกหรอ ๕๕๕ เอาล่ะ งั้นถ้ายังมีแรง เราจะพาไปดูการทอเสื่อ สานกระเป๋าหรือของใช้กัน ชุนชนแห่งนี้ปลูกต้นกก และปอไว้เพื่อนำพืชทั้งสองตระกูลมาตากแห้ง แล้วนำมาสานใช้ทำสิ่งจำเป็น และหากเหลือก็จะทำไปขาย โดยชุมชนก็มีศูนย์รวมสินค้าทอและสานต่างๆ จากพืชทั้งสองตระกูลนี้มากมาย โดยหลักๆ จะเป็นเสื่อและกระเป๋าสานนั้นเอง

จึงไม่แปลกที่ระหว่างทางเราจะเป็นทั้งปอและกกถูกตากแดดไว้ริมทางเต็มไปหมด ขับกันไปต่อสวนมะพร้าวครับ เราจะไปเก็บมะพร้าวสดกัน แต่ระหว่างก็อดที่จะจอดรถแวะถ่ายรูปกับดงบัวไม่ได้ คือบัวข้างทางพันธุ์อะไรไม่รู้ สูงเท่าหัวคน บ้าไปแล้ว ยังไงลองไปดูครับ

ตัดบทมาที่สวนมะพร้าวเลย ก็ไม่มีอะไรมาก หลังจากเที่ยวชมชุมชนกันมาเหนื่อยๆ การได้มาทานอะไรเย็นๆ หวานๆ ย่อมดี แต่เดี๋ยวว.. ทำไมพี่เค้าให้เราปีนขึ้นไปเก็บเอง ๕๕๕ ก็แหม… ไหนๆ มาแล้ว ก็สัมผัสชีวิตแบบชุมชนให้เข้าถึงไปเลย เก็บมาให้เพื่อนๆ ด้วย

ก่อนจะไปที่กิจกรรม Highlight ของวันแรก เราเดินทางกลับมาที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ เพื่อมาทำขนมจากกันครับ ได้เรียนรู้ และรวมปรุง รวมห่อขนมด้วยตัวเอง จากนั้นก็เอาไปปิ้ง กลิ่นนี่หอมมากๆ ทำจนสุกเสร็จทานได้ ต้องบอกว่า ฝีมือเรานี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ๕๕

เอาล่ะ และแล้วก็ถึงกิจกรรม highlight นั่นก็คือ การนั่งแพเปียก เป็นฐานที่สี่ ฐานสุดท้ายของเรานั่นเองแพเปียกเนี่ย คือการนำแพไม้ไผขนาดใหญ่หน่อย มาผูกแล้วลากจูงโดยใช้เรือหางยาว จะถูกลากไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระชังป่า ป่าชายเลน แหล่งเยี่ยวแดง และสุดท้ายที่สนุกสุดๆ คือกระโดดน้ำคลายร้อนกันจากแพนี่แหละ

กิจกรรมนี้ไม่ต้องพูดเยอะ ให้รูปอธิบายตัวของมันเอง และช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการล่องแพเปียกคือช่วงเย็นเพื่อดูพระอาทิข์ตกดินครับ ต้องบอกว่าสวยมากๆ

เรากลับมากันทีศูนย์เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างที่อาบน้ำจะมีอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากๆ นั่นคือ “ สปาซุ่มไก่ “ คือพี่ๆ เค้านำสมุนไพรกว่า 10 ชนิด มาต้มให้เดือดที่โซนหุงต้มแล้วต่อท่อให้ไอร้อนและสมุนไพรไหลเข้ามาในซุ่มไก่ ซุ่มไก่จะมีผ้าปิดไว้ไม่ให้ไอสมุนไพรออก เรียกได้ว่า เป็นการปิดทริปวันแรกได้ Locally slow life สุดๆ ฮาๆๆๆ

สำหรับคืนนี้เราพักกันที่โรงแรมพิมดาราครับ เป็นโรงแรมที่ห่างออกมาจากตัวเมืองไม่ไกลมาก ห้องพักดูดี เงียบ สงบ ที่สำคัญคือสะอาด และบริเวณโรงแรมนั้นสวยหรู แต่งได้มีระดับมากๆ ยังไงขออนุญาตไปพักเก็บแรงก่อนนะครับ เดี๋ยวเจอกันวันพรุ่งนี้… zzZZ

DAY 2

สวัสดีเช้าวันที่สองของทริปครับสำหรับวันนี้กิจกรรมแรกของเรา คือการเดินชมและสัมผัสวิถีชุมชนของริมน้ำจันทบูร คิดว่าที่นี่หลายคนคงคุ้นหูชินตา เพราะสถานที่แหงนี้ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองจันทบุรีเลยก็ว่าได้

เราเริ่มต้นด้วยการเดินชมเมือง ชมวิถีชีวิต แวะเข้าซอกซอยและร้านต่างๆ รวมถึงร้านขนมไข่ร้านนี้ ที่ขายมาแล้วกว่าสิบๆ ปี ได้มีโอกาสได้ลองไปทำ ใส่แป้งลงในกระทะแล้วอบ ลองชิมขนมไข่ตอนมันออกมาจากไตอบแบบร้อนๆ นี่มันหอม กรอบ และอร่อยมากๆ

ถัดไปจากนั้นก็หยิบไอติมหลอดคนละแท่งสองแท่งมาเติมพลังกันก่อนที่จะไปตลาดพลอย แต่น่าเสียดาย ที่ตลาดพลอยวายเสียแล้ว งั้นเอางี้ดีกว่า ไหนๆ ก็มาท้ายชุมชนแล้ว แวะก๋วยเตี๋ยวร้านเจ๊อี๊ดเลยแล้วกัน

ก๋วยเตี๋ยวร้านเจ๊อี๊ด เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่ดังมากๆ ครับ เรียกได้ว่าใครมาที่นี่ไม่ลองสักชามถือว่ามาไม่ถึง ด้วยเครื่องที่ครบ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง กั้งหมึก ปู ปลา เจ๊แกแกะให้แล้วใส่ลงมาในชามก๋วยเตี๋ยวแบบเน้นๆ ซึ่งทุกครั้งที่ผมไปเนี่ย ต้องสั่ง เล็กต้นมยำทะเลพิเศษ ถือว่าเป็นจานเด็ดสำหรับผมเลยล่ะ

รองท้องกันไปเรียบร้อยก็หามุมถ่ายรูปชิคๆ กัน ที่นี่มีประติมากรรมฝาหนังสวยๆ เต็มไปหมด รวมถึงรูปวาดฝานังต่างๆ ด้วย เราขอไม่เอามาโชว์ในกระทู้นี้ อยากให้เพื่อนๆ ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง และที่จะพลาดไม่ได้เลยคือสถานที่นี้ครับ ศูนย์เรียนรู้ประจำชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นบ้านทรงเดิมๆ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้เพื่อรักษาสิ่งปลูกสร้างและประวัติศาสตร์ของชุมชนที่นี้ คุณป้าเล่าว่าชุมชนที่นี้มีอยู่ 3 เชื้อชาติหลักๆ ได้แก่ ญวน จีน และก็ไทย ซึ่งว่ากันว่าในช่วงที่มีสงคราม เวียดนามจากโฮจิมินต์พายเรือข้ามมาที่นี้เพื่อลี้ภัย และสร้างเมืองนี้ขึ้นมา

ข้างบนชั้นสองเก็บสิ่งของเก่าแก่ไว้เต็มไปหมด รวมถึงภาพถ่ายด้วย และที่น่าชื่นชมคือ บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของป้าแกนะครับ (ขอโทษด้วยที่ลืมชื่อป้า) แต่เจ้าของบ้านที่แท้จริงเนี่ย ปล่อยให้ป้าเช่าเพื่อทำให้เป็นศูนย์เรียนรู้ของชุมชนริมน้ำจันทบูรเพียงแค่เดือนละหนึ่งบาทเท่านั้น ใช่ครับ ฟังไม่ผด หนึ่งบาท เ ท่ า นั้ น

แล้วคุณป้ายังเล่าอีกว่า… ชุมชนริมน้ำจันทบูรเนี่ย เหลือบ้านอยู่สองหลังเท่านั้นแหละ ที่ยังคงเก็บความเป็นเอกลักษณ์เดิม สิ่งปลูกสร้างเดิมไว้ให้ยังคงอยู่ คือที่นี่ และบ้านหลวงราชไมตรี ที่เรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันนี่แหละครับ โดยบ้านหลวงราชไมตรี นอนจากจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ย่อยแล้ว ยังเป็นบ้านพักให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสกับชุมชนริมน้ำจันทบูรอย่างแท้จริงด้วย

หากใครสนใจ สามารถจองที่พักได้กับทาง booking ครับ โดยการจองผ่านลิ้งค์ https://www.booking.com/s/palapi11 แบบผูกบัญชี เพื่อนๆ สามารถรับเงินคืนหลังเช็คอินกลับไปเลย 1,000 บาทอย่างง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องพักที่นี่ แค่เพียงพักที่ไหนก็ได้ ในราคา 2,000 บาทต่อคืนขึ้นไปเท่านั้น

จากที่ฟังๆ ผู้ใหญ่เค้าพูดมา งั้นก็ไม่แปลกที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรจะมีโบสถ์ หรืออาสนวิหารพระแม่มารีอาปฏิสนธินิรมล คือได้มีโอกาสฟังเรื่องราวตั้งแต่ที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ จนมาประติดประต่อที่วิหารแห่งนี้ ทำให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในเรื่องราวประวัติศาสตร์นั้นไปโดยปริยาย ถ้าจะให้เล่าอย่างละเอียดก็คงไม่ไว้ จะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังว่า…

สมัยก่อนวิหารแห่งนี้ใหญ่กว่านี้ครับ แต่เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง เลยจำเป็นต้องหั่นครึ่งวิหารออกไป เพื่อหลบซ้อนไม่ให้ข้าศึกรู้ว่ามีวิหารกลางเมืองนี้ กลัวถูกทิ้งระเบิด ตัววิหารทำด้วยไม้ตะเคียรทั้งหลัง แต่ต่อมาก็มีการทำนุบำรุงรักษาเรื่อยมา

อย่างกระจกของวิหาร ก็ทำมาจากกระจกฝรั่งเศส  ที่เพื่อนๆ เห็นไม่ใช่กระจกแผ่นเดียวแล้วทาสีนะ แต่เป็นกระจกชิ้นเล็กๆ นับหมื่นนับพันชิ้นมาต่อกันให้เป็นรูปร่างและรูปวาดตามที่ต้องการ มีเรื่องให้อึ้งอีกเยอะในวิหารแห่งนี้

รวมไปถึงพระแม่มารีจำลอง ที่ทำด้วยพลอยทั้งตัว ด้วยความที่เมืองจันทบุรีหรือชุมชนจันทบูรมีความขึ้นชื่อเรื่องพลอย เลยนำสัญลักษณ์ของเมืองมาประดิษฐ์รูปปั้นจำลองพระแม่มารีเสียเลย จำไม่ได้ว่ามีพลอยกี่เม็ด และหนักกี่ร้อยกิโล แต่เรื่องนี้ ก็ทำให้ผม อึ้งไปเลยล่ะ…

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกหนึ่งอย่างคือวิหารแห่งนี้ มีคนมาจัดพิธีแต่งงานบ่อยมากก เพราะข้างในสวยมากกกกกกกก

ก่อนกลับจะขอพูดถึงการ์ตูนขายหัวเราะหน่อย ถ้าเกิดใครพอจะจำลายเซ็นได้ แนะนำให้มาที่นี่เลยครับ ร้าน ” บางเวลา ” เพราะพี่เค้า เป็นคนวาดการ์ตูนขายหัวเราะนั้นเอง เครื่องดื่มถูกปาก ที่สำคัญหากโชคดี พี่เค้าอาจวาดรูปล้อเลียนให้เราด้วยก็ได้

ไปกันต่อที่อาหารเที่ยงครับ…เอิ่มมม ได้ข่าวว่ากินกันทั้งวัน แต่ก็นั่นแหละครับ มันไม่ใช่เวลากินไง พอถึงเวลากินจริงๆ ก็เอาหน่อย ซึ่งมื้อเที่ยงมื้อนี้จะพาเพื่อนๆ มาทานร้านผัดไทบ้านฉัน เป็นร้านเล็กๆ ริมถนนแต่รสชาติถูกปากมาก

ทีเด็ดอยู่ตรงที่เป็นผัดไทใส่ topping ซึ่ง topping นี่ไม่ใช่พวกเยลลี่ โกโกครั้นช์ หรืออะไรแบบนั้นนะ แต่เป็นกุ้งสด ปู กั้ง หมึก ไข่ อะไรแบบนั้นอ่ะ เรียกได้ว่าเด็ดสุด และที่ชอบคือ มีเมนู wrap ไข่มาให้ด้วย ฮาๆๆ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นการจัดพื้นที่หเหมาะสมด้านอาชีพ การประมง และเกษตรในเขตพื้นที่ดินฝั่งทะเลจันทบุรี และสงสเริม พัฒนาอาชีพราษฏรของศูนย์ศึกษาฯ อีกด้วย ซึ่งทางศูนย์ศึกษาก็พยายามพัฒนาทำให้สถานที่แห่งนี้เนทีที่สามารถรองรับประชาชนทั่วไปได้ มาเที่ยวเล่นและศึกษาระบบนิเวศแห่งนี้

ข้างในศูนย์ศึกษามีพื้นที่สำหรับเดินศึกษาธรรมชาติยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสะพานไม้ระแนง กลางดงป่าชายเลน เพื่อนๆ จะได้เห็นโกงกาง โปรงแดง ป่าสักทั้งดอกแดงดอกขาว ลำพูทะเล แสมทะเล หรืออย่างสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างปลาตีน ปูแสมวิ่งไปมาบริเวณนั้น

ระหว่างเดินชมธรรมชาติก็จะมีศาลาให้แวะพักเรื่อยๆ ซึ่งทั้งระยะทางนั้นมีอยู่ 10 ศาลาด้วยกัน แต่ศาลาที่ผมชอบที่สุดคือ “ ศาลาชมวิว “ เป็นศาลาที่สร้างยื่นไปในอ่าว ให้สามารถองเห็นแนวป่าชายเลน วิถีชีวิตชาวบ้าน และชาวประมงที่อยู่ในบริเวณนั้น

จริงๆ ที่ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ มีกิจกรรมพายคายัคด้วยนะ แต่ช่วงที่เราไป น้ำลงครับ เลยไม่สามารถพายเรือได้ อีกหนึ่ง highlight ของที่นี่คือ หอดูเรือนยอดไม้ เป็นหอที่ทำด้วยไม้สูงราวๆ 15 เมตร ลักษณะเป็นระเบียงห้าเลี่ยมที่ที่นั่งให้ชมวิวสวยๆ สุดลูกหูลูกตา และถ้าโชคดีอาจเห็นนกที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ ที่มีกว่า 120 ชนิด

แต่ก็มีเรื่องเศร้าอยู่บ้าง หากเดินไปหน่อยก่อนถึงหอดูไม้จะเห็นอนุสรณ์ “ จ้าวแห่งคุ้งกระเบน “ ก็คือ หมูดุด หรือพะยูน อดีตที่นี่เคยมีพะยูนอาศัยอยู่ เพราะเป็นบริเวณที่มีหญ้าทะเล แต่ด้วยโลกเปลี่ยนไป หญ้าทะเลตายหมด ทำให้พะยูนหายไปด้วย ซึ่งพะยูนตัวสุดท้ายที่พบบริเวณอ่าวคุ้งกระเบนคือเมือปี พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นปีเกิดของผมเอง เพื่อนๆ สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ที่เบอร์ 039-433-216 ที่นี่เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. ครับผม

ทุกอย่างมักผ่านไปเร็ว เผลอแป็บเดียว เราก็มารอพระอาทิตย์ตกดินที่เนินนางพญากันแล้ว เนินนางพญาเป็นจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อที่สุดในภาคตะวันออก บนถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ได้รับการคัดเลือกให้เป็น Dream Destinations จากการท่องเที่ยวแหงประเทศไทย ว่าต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต ที่นี่ตอนพระอาทิตย์ตกดินสวยมาก

และเราก็ยืนรอดูจนมันตกจริงๆ เป็นภาพสุดท้ายของทริปที่สวยงามมากๆ นอกจากเราจะได้ดูพระอาทิตย์ตกดินแสงสุดท้ายของทริปนี้แล้ว ยังได้มาเห็นถนนริมทะเลข้างหน้าผาอย่างที่คิดไว้ว่าต้องมาสักครั้งจนได้ นี่สินะ ที่เป็นถนนที่สวยและเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในภาคตะวันออก มันสวยอย่างที่ใครเค้าว่าจริงๆ

ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ททท. และทีมงานทุกคนนะครับ ที่ดูแลผมและลูกเพจเป็นอย่างดี ทริปนี้อิ่มแปร๊เลย แถมยังได้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงประวัติความเป็นมาที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับสิ่งๆ นั้นให้พวกเราได้ตระหนักถึงความสำคัญอีกด้วย เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่ไปทริปนี้ คงได้แง่คิดในการดำรงชีวิต และหากพลิกวิธีการหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้เรียนรู้กลับไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจในมุมมองของตัวเอง อาจจะทำให้การดำรงชีวิตและธุรกิจที่ทำอยู่ของเราดีขึ้นก็ได้ สำหรับทริปนี้ มีความสุขดีครับ แล้วเจอกันระหว่างทาง…

Leave a Reply

*