ROAD TRIP ปัตตานี – ยะลา – นราธิวาส 5 วัน 4 คืน ด้วยเงิน 8,500 บาท

ทริปนี้เป็นอีกทริป ที่ขอลดความสุภาพแบบปัญญาชนมาเป็นเพื่อนสนิทจับเข่าคุยกันพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วมาซิบแล้วจิบที่มุมปากเล่าบรรยากาศตอนเที่ยวสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ฟังนะ จะมีคำหยาบ สแลง และการแสดงตามประสาวัยรุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการติดตามเรื่องราวตั้งแต่ Chapter แรกเลยล่ะ มาค่ะ อีดอกกก!!!

CHAPTER 1: ไม่คาดคิด

คืองี้มึง จริงๆ แล้ว ถ้ามีวันหยุดยาวสัก 5 วันขึ้นไป กูจะหาที่เที่ยวไกลๆ ตามประชาคนทำงานประจำ แต่คือขอโทษนะ แถบนี้ไปมาหมดแล้วอ่ะ //มองบนปนยิ้มเยาะเย้ย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ด่าได้ไม่ว่า นี่ก็เลยค่อยๆ เขยิบไปไกลๆ หน่อย พอเขยิบไปไกลอีกนิดก็พบว่าลิสต์ที่ไปได้แบบไม่ต้องใช้วีซ่าอิชั้นได้เก็บไปหมดแล้ว เห้ออออ น่าเบื่อจัง อยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ บ้าง

นี่ก็เลยวนกลับมาในประเทศตัวเอง เปิด google map แบบไม่สนใจรีวิวหีแตดหน้า feed ของใครทั้งนั้น ดูแค่ว่า แผนที่ประเทศไหน พื้นที่ไหนที่ฉันยังไม่ได้ปักหมุ….สัส!!! นั่นไง สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่างแบบ ว่างงงงงงเลย ไกลสุดที่ลงไปก็แค่สตูล

พอได้ Destination ใหญ่แล้ว นี่ก็เลยตามไปดู Destination ย่อย อีเหี้ย!!!! คือดีมาก พีคมาก สวยมาก คู่ควรกับหยุดยาวห้าวันนี้มาก และคือน้อยคนมาก ที่เคยพูดถึงสถานที่อะไรแบบนี้ หรือแม่งไม่เคยได้ยินชื่อในบางที่เลยด้วยซ้ำ รู้ป้ะ ว่า ไม่ได้สนใจอันตรายใดๆ ที่เคยมีข่าวออกตามทีวีเลย ยึดศูนย์กลางเดินทางในครั้งนี้ที่ว่า ถ้าตาย ก็ตาย ชีวิตชาตินี้จะได้จบๆ ไป แล้วเดี๋ยวค่อยไปเริ่มใหม่ชาติหน้า เหมือน Chapter ที่สองที่เรากำลังจะพูดถึง

CHAPTER 2: เพื่อนร่วมทริป

แต่เอาเข้าจริงๆ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดอ่ะ จากประสบการณ์ที่ได้พบผ่านหลากหลายหน้าตาคนที่นั่น ทุกคนคือดีมากกกกกก ใจดีมากกกก ยิ้มเก่งงงงงง เลี้ยงเก่งงงงงง ดูแลดี ไม่มีท่าทีจะจะมายิงอะไรกูทั้งนั้น แต่ การเดินทางแต่ละที่ไกลกันมากๆ และด้วยความที่ภูมิประเทศเป็นเขาเสียส่วนใหญ่ เราจึงต้องใช้วิธีเช่ารถในการเดินทางจึงจะดีที่สุด

ถามว่าทำไมไม่อาศัยรถประจำทาง ขอเถอะ จะบอกว่าที่แต่ละที่ที่ไปคือยูนีคสุดๆ บางที่คือรถประจำทางไม่เข้าเลย และที่สำคัญคือต้องการคุมเวลาเอง ไม่อยากให้ตารางรถประจำทางมาคุมเวลาในการดำเนินทริป ก็ถ้ามันจะต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ไปคนเดียวใจไม่ปล้ำพอ ขอเพื่อนไปด้วยเลย!!!

ประกาศหน้าเฟสส่วนตัว ผ่านไปหนึ่งวันไอ่แม่เย็ด ไม่มีใครอยากไปกับกูสักคน นี่เริ่มโหว่งแล้วนะ จะมีก็คนหนึ่งและที่ไปด้วยทุกทริป นั่นคือแฟนเราเอง ๕๕๕๕ เรียกได้ว่ามัดมือชก แต่ก็ยังดีที่แฟนกูไม่ได้แพนิคหรือตื่นตระหนกอะไรมาก ที่งงคือดันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันซะงั้น อ่ะก็ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดี

แต่ไม่หรอก กูจะไม่ยอมไปเสี่ยงอันตรายกันสองค…เอ้ย!!! ไม่สิ กูจะไม่ยอมไปเห็นทีสวยๆ กันสองคนหรอก กูต้องพาเพื่อนเราไปด้วยสักคนสองคนแหละน้า นี่อยากให้เพื่อนเห็นอะไรสวยๆ แน่ๆ เปล่า!!! ให้มาช่วยหารค่ารถ ตึ่งโป๊ะ!!! และสุดท้าย ก็ได้เพื่อนมาเที่ยวกับเราถึงสองคน รวมเป็นสี่คนตลอดทริปนี้

CHAPTER 3 เตรียมตัว

เรื่องการเตรียมตัวแต่ละทริปสำหรับกูนะ เอาจริง บอกเลยว่าไม่มี ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ เป็นคนแบบชอบไปตายเอาดาบหน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นสามชายแดนภาคใต้ก็เถอะ นี่ก็กะไปตายเอาดาบหน้าเหมือนกัน แพลนทริปก็แค่ปักๆ เอาว่าวันนี้จะอยู่ที่ไหน เวลานี่จะอยู่ทีไหน ที่พักก็ไล่จองแบบ Day By Day ซึ่งก็ได้ตารางทริปคร่าวๆ ดังนี้

DAY 1

  • นั่งเครื่องลงนราธิวาส
  • ขับไปเที่ยวตัวเมืองปัตตานี เก็บมัสยิดกลางเมือง และแหลมตาชี
  • ขับไปนอนยะลาก่อนมืด กลัวโดนระเบิด

DAY 2

  • ตื่นแต่เช้า ปลุกตัวเองด้วยเพลงเพราะๆ สักเพลงหนึ่ง
  • หาไรกิน แบบร้านที่แบบห้ามพลาดในตัวเมืองยะลา
  • ขับไปที่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9
  • ช่วงบ่ายเดินป่า ฮาลา – บาลา
  • ช่วงเย็น นั่งเรือไปคลองน้ำใส

DAY 3

  • ตื่นเช้าขับไปที่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 7 ดูทะเลหมอกที่ผาหินโยก
  • ขับต่อไปที่ถนน 410 ยะลา – เบตง เตรียมขึ้นฆูนุงคีรีปัต
  • บ่ายแก่ๆ ขึ้นภูฯ แล้วชมพระอาทิตย์ตกดิน

DAY 4

  • ตื่นเช้าดูทะเลหมอก
  • ลงจากเขามาล่องคายัค
  • ต่อด้วยน้ำตกที่อยู่ในหน้าปก อสท.
  • รีบขับเข้าตัวเบตงก่อนมืด
  • เที่ยวในตัวเบตงตอนแสงสลัว

DAY 5

  • เก็บตกที่เหลือในเบตง
  • ขับไปเก็บตกที่เหลือในยะลา
  • ส่งรถคืนที่นราธิวาส
  • กลับบ้านอย่างปลอดภัย ขอเถอะ!!!

ข้างบนเป็นการเตรียมตัวคร่าวๆ ผสมกับทริปที่ไปมาจริง เพื่อที่จะให้คุณๆ ทั้งหลายสามารถลอกหรือ copy เอาไปประยุกต์ใช้กับทริปตัวเองได้ง่ายขึ้น นี่ถ้ากูพิมพ์แพลนตั้งแต่แรกเริ่มให้ดู คงมีหนึ่ง Paragraph แค่นั้นแหละ มีไรบ้างก็จะประมาณ

“ วันแรกไปถึงขับไปเที่ยวปัตตานีแล้วไปนอนยะลา ต่อมาก็เก็บยะลาแล้วไปฮาลาบาอยู่สองวันหนึ่งคืน ช่วงบ่ายตอนจบฮาลาบาลาไปต่อที่ฆูนุงซีลีปัตพอจบอีกวันก็เข้าเบตงนอนหนึ่งคืนแล้วตีรถกลับเลย “

CHAPTER 4 ตายเอาดาบหน้า

ใช่ การตายเอาดาบหน้า ถือเป็นสิ่งที่กูชอบมากกกกกกกก แต่… ครั้งนี้เป็นช่วงเทศกาล การจองไปก่อนในบางเรื่อง ย่อมเป็นผลดีกับเราแน่ๆ ซึ่งสิ่งที่อยากให้เพื่อนๆ จองกันก่องล่วงหน้า เพื่อที่จะให้ Demand/Supply มันไม่ห่างกันเกินไปจนไปกระทบกับราคาที่มันสูงเกินความจำเป็น ก็จะมีตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ กิจกรรมที่ฮาลาบาลา และกิจกรรมขึ้นเขาฆูนุงฯ

ที่พักไม่ต้อง นี่ชอบไปเสี่ยงเอาข้างหน้ามาก แต่หากใครไม่ชอบเสี่ยงเอาข้างหน้าเหมือนกูก็ขอแนะนำให้จองผ่าน booking.com โดยเข้าลิ้งค์นี้ https://goo.gl/UcmytA แค่สมัครสมาชิกแบบผูกบัตรเครดิต เค้าก็จะลดให้ 1,000 บาททุกการจองที่พักตั้งแต่ราคา 2,000 บาทขึ้นไป ใช้ได้เพียงแค่คนละครั้งเท่านั้นเด้อ!!!

ส่วนตัวเครื่องบินในประเทศก็ยังคงแนะนำให้เป็น Traveloka อยู่นะ เพราะถูกกว่าเจ้าอื่น และ Processing ในการจองดูง่าย สบายตา รู้เรื่องดีไม่ซับซ้อน ไม่มีค่าใช้จ่ายหมกเม็ดแทรกขึ้นมาให้รำคาญ โชว์ราคาไหนก็ราคานั้นเลย ซึ่งทริปนี้เลือก Flight ของสายการบิน Thai AirAsia บินตรงดิ่งลงนราธิวาสเลยจร้า

มาถึงรถเช่า จะบอกว่ารถเช่าที่นราธิวาสก็ไม่ได้หายากอะไรเบอร์นั้น นี่เลือกเอารถเช่าบริษัทเล็กๆ ที่เป็นของ Local ชื่อ “ AKHOO “ รถมีตั้งแต่ราคา 750 บาทต่อวันตามเงื่อนไข และมีแบบเหมารายเดือนถูกสุดที่ 17,500 บาทต่อเดือนด้วยนะ ซึ่งทริปนี้ เราเลือกใช้ Toyota Yaris ปีเก่าครับ ราคาต่อวันจะอยู่ที่วันละ 1,000 บาทเท่านั้น

พอบินไปถึงจะมีพนักงานมารอรับเราที่สนามบิน เพื่อที่จะไปรับรถที่จุดรับรถครับ ซึ่งจุดรับรถจะห่างออกไปจากตัวสนามบินราวๆ 5-10 นาทีตามสภาพจราจร ตัวรถพอเปิดเข้ามาดูข้างในโอเคครับ สะอาด พนักงานดูและดี มีประกันตัวรถให้ด้วย แล้วต้องวางเงินมัดจำก่อนรับรถ 3,000 บาทครับ

สามารถติดต่อกับ AKHOO ได้โดยตรงที่เบอร์นี้เลย 082-095-7177 และขอบอกว่า จุดรับรถเป็นร้านอาหารด้วยนะ มีแบบปิ้งย่างซีฟู้ดและแบบภัตตาคาร ซึ่งหากใครบินมาถึงนราธิวาสแล้วมีโอกาสได้มารับรถที่นี่ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่เราจะเติมพลังตรงนี้ให้จบแบบไม่ต้องแวะไหนให้เสียเวลา ร้านชื่อ Nasir Restaurant นะ จดๆ

เมนหลักสำคัญของทริปนี้ของกูก็คือ ฮาลา-บาลา มารู้อีกทีตอนหลังช่วงหาข้อมูลว่า การจะไปที่นี่ต้องจองไปก่อน เพราะที่นี่ Operate โดยชุมชนจุฬาพัฒนา 9 เป็นน้องๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ ก็อายุย่างเข้า 20 ไรงี้ ๕๕๕๕๕ เอ้อออ.. ช่างเหอะ ก็คือใครจะมา ฮาลา-บาล ก็จองผ่านน้องๆ เค้าได้ที่เบอร์นี้เลย 097-117-5567 ชื่อน้องหลินปิง น้องๆ เค้าจะได้เตรียมัวกันถูก เพราะสถานที่แห่งนี้เค้าใช้คนทั้งหมู่บ้านในการต้อนรับแขก น่ารักมากๆ

ส่วนเขา ฆูนุงคีรีปัท ทางนี้ก็จองผ่านน้องหลินปิงเลย ซึ่งเขาลูกนี้ต้องจองก่อนไปนะ เพราะวันหนึ่งขึ้นได้แค่ 80 คนเท่านั้น ถ้าไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ walk in เก๋ๆ คนเต็มทริปพังเลยนะจะบอกให้

DAY 1

CHAPTER 5 นราธิวาส

ฟังกันมาตะกี้น่าจะพอจับใจความกันได้อยู่บ้างใช่ป้ะ งั้นเดี๋ยวกูจะเริ่มเล่าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายให้มึงฟังคร่าวๆ เลยนะ ว่ากูไปเจออะไรมาบ้าง ก็แบบไปสนามบินดอนเมือง ก็เช็คอินตามปกติ แต่ที่ไม่คิดไว้คือคนขึ้นเครื่องเต็มลำเลยมึง คือมึงเข้าใจป้ะ ว่า Mind Set ของกูสำหรับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือต้องมีคนไปน้อยมากไรแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างเยอะ แล้วคือตอนบินอยู่ตกหลุมอากาศ กูนี่คิดไปไกลถึงขั้นเป็นลางบอกเหตุให้วนเครื่องบินกลับบ้านเลยอีเหี้ย ๕๕๕

ความกังวลไปไกลเลยแดนไทยเข้ามาเลเซียไปแล้วอ่ะ แต่ก็นะ สุดท้ายก็มาถึงสนามบินอย่างปลอดภัย คือเอาจริง กูตื่นเต้นมาก และจะบอกว่า การถ่ายสถานบินไม่ใช่สิ่งปกติของกู แต่ครั้งนี้ ต้องถ่ายเก็บไว้เลย แล้วขอให้ติดชื่อสนามบินตัวโตๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

รับกระเป๋าจากสายพานเสร็จ ทีม Staff ของร้านเช่ารถก็โทรมาเลย คือตรงเวลามากๆ แบบเป๊ะเลยอ่ะ เค้าก็ช่วยเรายกของขึ้นรถ แล้วก็ขับรถไปยังจุดรับรถใช่ไหม ก็คือเกริ่นไปตั้งแต่แรกแล้วว่า จุดรับรถมีร้านอาหารที่บ้านเค้าขายอยู่ด้วย เราก็เลยสั่งอะไรกินตรงนั้นให้มันเสร็จๆ ไปเลย แล้วจะได้เดินทางทีเดียว ซึ่ง…

มึง มึงง เมิ้งงงงงงง อาหารอร่อยมาก กับข้าวที่สั่งมารสชาติแบบ ไม่เคยกินรสนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นเมนูเดิมๆ ที่เราหาได้เวลาไปแอ่วใต้ทั่วไป คือมันแบบรสชาติดีตอนถูกปาก แล้วมีกลิ่นพิเศษบางอย่างตีขึ้นมาตอนกลืนเข้าไปในท้อง คือกูไม่สามารถอธิบายให้ได้เห็นภาพ รู้รส เท่ากับการได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ

หน้าตาอาหารก็ทำได้น่ากินมาก แล้วคืออาหารแบบมีหลากหลายให้ได้เลือก จริงๆ ตรงข้ามมีปิ้งย่างซีฟู้ดที่เป็นเครือเดียวกันของเค้าด้วยนะ ชื่อ Nasir Sea Food แต่พวกกูก็กลัวว่าจะใช้เวลานานเกินไปไง เพราะเดี๋ยวต้องรีบขับไปปัตตานีต่อ พอกินคาวจะไม่เติมหวานก็เดี๋ยวจะสันดานไพร่ อ่ะ เอาซะหน่อย

ของหวานก็มีให้เลือกเยอะ ใครจะไปคิดว่าคนที่นี่จะกินบิงซูเอาจริง คือต้องได้มาเห็นสภาพแวดล้อมที่นี่นะ แล้วจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ในความคิดกูคือ กูบินมาอินโดนีเซีย หรือมาเลเซียอะไรแบบนั้น แต่ช่างเถอะ บิงซูหมดถ้วยภายในไม่ถึงสิบนาที ร้านนี้คือ Nair Restaurant นะ ไปตำกัน

พอกินเสร็จก็เดินทางกันต่อจากนราธิวาสไปปัตตานี ระหว่างทางทำจิตใจกูหน่วงมากมึง คือจะมีด่านตรวจเป็นระยะ แล้วที่ทำให้หน่วงคือบางด่านก็จะมีป้าย Wanted เหมือนในหนังอ่ะ มึงเข้าใจฟีลป้ะ แบบ นี่กูอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมตำรวจทหารต้องการคนร้ายเยอะจัง

มากไปกว่านั้นคือยังมีเลขป้ายทะเบียนที่ทางหน่วยราชการกำลังตามหาอีกเป็นร้อยป้าย พระเจ้าจอร์จ นี่กูต้องใจแข็งขนาดไหนสำหรับการมาเยือนสามจังหวัดแดนใต้ครั้งแรกแบบนี้ แต่ทหารแต่ละป้อมก็ไม่ได้สงสัยอะไรเรานะ คิดว่าเค้าคงจะรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวล่ะ เลยไม่ได้ตรวจอะไรมาก

คือมึง ระหว่างทางสมบูรณ์จริง อันนี้ยอมรับ ขับไปไม่นานจากนราธิวาสก็ถึงปัตตานี จริงๆ เราต้องถึงเร็วกว่านี้นะ แต่ใช้เวลาแดกข้าวเยอะไปหน่อย ๕๕๕๕๕ ปัตตานีที่แรกที่ลงคือมัสยิดกลางเมืองเลย การจะเข้าไปสถานที่แห่งนี้ก็ต้องแต่งกายสำรวมหน่อย กูนี่เอากางเกงขายาวมาใส่ทับเกงขาสั้น แล้วเอาเสื้อคลุมใส่ทับเสื้อแขนกุดในรถก่อนลงออกจากรถ

มัสยิดกลางปัตตานีเค้าว่ากันว่าสวยสุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วนะ อิงการปลูกสร้างมาจาก Taj mahal เบาๆ แล้วมีสระน้ำเขียวมรกตอยู่ด้านหน้า ถ่ายรูปสวยมาก ช่วงเที่เราไปเขายังไม่เข้ามาทำพิธีกัน เลยมีโอกาสได้เข้าไปดูภายในของมัสยิดด้วย ไม่น่าเชื่อว่าสวยแบบเรียบๆ แต่รื่นรมย์สุดๆ

จากที่สังเกตุคนที่ปัตตานีนับถืออิสลามกันนะ ดูจากการแต่งตัวเอา เอางี้แล้วกัน เรื่องที่มันเกี่ยวกับกับวิถีการเป็นอยู่ขอไม่ลงลึก กลัวพูดไปแล้วมันผิดอ่ะ เล่าแค่สิ่งที่ไปเจอมาก็พอ แต่ขอนะ ว่าเจอมายังไง ก็ขอเล่าแบบนั้น ไม่ขออิงข้อมูลอะไรเยอะ อยากเล่าสบายๆ

จบจากมัสยิดกลาง ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ กำลังจะขึ้นรถละ ไปเจอบังคนหนึ่ง เข้ามาทักทาย คือกูจะบอกว่า ที่นี่คนชอบเข้ามาทักนักท่องเที่ยวมาก ว่าไปไหน มาจากไหน จะไปเที่ยวที่ไหน อะไรทำนองนี้ เพราะนักท่องเที่ยวน้อยมาก ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวก็จะแต่งตัวไม่เหมือนกับคน Local ไง ที่นี่จะใส่ชุดแบบคนอิสลามอ่ะ เค้าเรียกว่าไรว่าแบบเหมือนสโล่งยาวๆ หรือถ้าเป็นผู้สาวก็จะมีผ้ามาคลุมหน้าเบาๆ อะไรทำนองนั้น

บังแกก็เข้ามาคุยถามนั้นถามนี้ ก็ยิ้มทักทาย จนกระทั่งคำถามก่อนจากลา บังถามว่าจะไปไหนต่อ กูนี่ก็บอกว่า เดี๋ยวไปแหลมตาชี… บังแกเงียบไปแป๊บหนึ่ง แล้วพูดว่า อย่าไปเลย นี่ก็จะห้าโมงเย็นแล้ว มันอันตราย กูนี่งงเลย… คนพื้นที่บอกไม่ให้ไปเที่ยว

นี่ก็ซักไซร้ถามต่อไปเรื่อยๆ บังก็ให้เหตุผลว่า มันเป็นทางไปกลับทางเดียว ไม่มีทางอื่น คือแหลมตาชีมันจะเป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลกว่า 10 กิโลเมตรเลยมึง แล้วคือมึงเข้าใจป้ะว่า 10 กิโลเมตรนั้น มีถนนเส้นเดียว แกก็บอกว่า มันมีเหตุการณ์ไม่ดีบ่อย กูนี่อยากรู้มากเลยว่าเหตุการณ์ไม่ดีที่ว่านั่นคือยังไง แต่ก็ไม่ได้ถาม สุดท้ายแล้ว ก็จากกับบังด้วยคำพูดที่ว่า “ ถ้าจะไป ก็รีบไปหน่อยแล้วกัน ออกมาให้ทันฟ้ามืด “

CHAPTER 6 ออกมาให้ทันฟ้ามืด

ต่อจาก Chapter ที่ 5 พอบังพูดเสร็จ มึงคิดว่าไงอ่ะ เป็นมึงมึงจะไปต่อ หรือตีรถกลับขึ้นยะลาเลย…. ติ้ก ตอก ติ้ก ตอก ต… สัส!!! มาแล้ว ก็ไปดิวะ กลัวไร พวกกูสี่คนรีบขึ้นรถ เปิด Get Direction นำทางไปแหลมตาชีให้ไวเลย ซึ่งใน Google Map แจ้งว่า อาจใช้เวลาราวๆ 45 นาที ไปถึงก็ห้าโมงเย็นพอดีล่ะ

ระหว่างทางบรรยากาศมันก็จะวังเวง เหมือนไม่ได้อยู่ไทย ก็พูดคุยกันแล้วสังเกตในตัวเมืองได้อย่างหนึ่งคือ ตรงไหนที่มีเกาะกลาง คนที่นี่จะจอดรถตรงนั้น แล้วคืออีบิ้ก เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายที่ไปด้วยก็พูดติดขำว่า สงสัยจอดหลับระเบิดแหง น้องพีช น้องชายคนเล็กสุดในทริปนี้ ด้วยความที่แม่งเป็นคนชอบหา อยากรู้ เลยเปิดหาข้อมูลในเน็ตตอนนั้นเลย แล้วพบว่า..

ใช่ อิสัส เค้าจอดเพื่อหลบระเบิด เผื่อมีคนมาก่อการร้าย คือถ้าระเบิดบนเกาะกลางถนน บ้านคนหรือร้านค้าก็จะโดนความเสียหายไม่มากไรทำนองนั้น พอขับไปๆ มึงเอ้ยยย เคยเห็นังเกอร์ถาวรของพวกทหารในค่ายไหม บ้านคน ร้านค้าที่นี่ บางจุดนี่ทำแบบนั้นเลยมึง เป็นบังเกอร์ตั้งขึ้นมาบน Foot-bath ทางเท้าเลย

อ่านต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงแหลมตาชีด้ว…ปึ้ก!!! เชี่ยยย.. ระหว่างที่เล่าเรื่องกันอยู่ก็มีเสียงอะไรก็ไม่รู้มากระแทกตรงกระจกรถอย่างดัง แล้วคือคนในรถกรี๊ดกันหมด กูหันไปแลหลังแม่งขนปลิวเต็มเลย เลยถามว่าอีบิ้ก //บิ้กเป็นคนขับ  มึง่ชนอะไร

อีบอกบอกอีกา … มึนงชนไร //พูดแบบติดๆ ขัดๆ อีกา… ห๊ะ ชนไรนะ อีกา อีเหี้ยยย กูบอกอีกา คือที่กูถามคือกูกลัวไง โบราณเคยเล่าว่า ชนกา ชนนกแสกแม่งไม่ดี เป็นลาง จากที่เริ่มกลัวตอนนั้น กูเริ่มกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วมึงเข้าใจอารมณ์ Google map ป้ะ ชอบพาไปทางลัด ทางเล็กๆ พากูเข้าป่า ติดริมน้ำ แล้วคือเป็นหญ้ารกชัก

ขับไปได้สักพักเจอหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งแบบแทบจะไร้ผู้คน ไม่รู้ใครพูดมาว่าเอออ แต่โจรใต้เนี่ย เค้าก็มักจะแอบเอาเอากับชาวบ้าน แล้วมีลูกกัน เพื่อที่จะได้เข้ามาแทรกซึมข่าว เป็นหนอนบ่อนไส้อะไรแบบนั้น แล้วพอเจอบรรยากาศแบบหมู่บ้านเล็กๆ ในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เกินไปจนเหมือนไร้คนกูก็กลัวไง

แต่ไม่นานนัก ตั้งแต่ขับรถมา ก็มีรถซาเล้งคันหนึ่งสวนมา เป็นคู่ชาวบ้านผัวเมียเหมืนกำลังจะออกไปตัดหญ้าให้วัวกิน นี่เลยรีบเปิดกระจกถามแบบบ้านๆ เลยนะ แบบไม่อายเลยนะว่า… พี่ครับ… แหลมตาชี อันตรายไหม?? ไม่อันตรายยยย คนเยอะ สวยยยยย ทางไปติดทะเลสองข้างทางเลย รีบไปๆ สวย

โอ้โหหหห… คำพูดบังแม่งปลดล็อคกูไปนิดหนึ่งอ่ะ แต่ด้วยความกังวลเพราะเล่นเกมส์และดูหนังก่อการร้ายบวกฆาตกรรมเยอะ พอขับผ่านบังแกไป สายตาก็รีบกลับหันหังมองเฮียแกทันทีว่าแกยกโทรศัพท์ไหม เผื่อเฮียแกจะโทรบอกพวก ให้เตรียมต้อนรับเรา เพราะอย่างที่บอก ทางเข้าออก มีทางเดียว ฉะนั้น ใครที่เข้ามา คนในพื้นที่ย่อมรู้อยู่แล้ว….

มึง มึงว่ากูหลอมไปป้ะ แต่เอาจริง มึงฟังกูได้นะ จะตามหรือไม่ตามมาก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจ จะไม่เอนอียงหรือบ้ายอให้ใครทำอะไรตามทั้งนั้น โตแล้วก็คิดกันเอง และพอขับมาได้สักพัก มึงเอ้ยยยย สวรรค์ กูว่าเป็นเป็นเพราะ google map นั่นแหละที่พากูเข้าป่า จริงๆ แล้วถนนแม่งไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ก็มีบ้านคนอาศัยอยู่เรื่อยๆ 3 หมู่บ้าน มีตลาด มีอะไรเต็มไปหมด และคือรีสอร์ทปลูกเต็มสองข้างทางเลยมึง

ขับไปเรื่อยๆ จนสิ้นเขตหมู่บ้านที่สาม หมู่บ้านสุดท้ายที่ถนนเส้นนี้จะมีผู้คน หลังจากนั้นก็จะกลับมาวังเวงหน่อย ขับไปเรื่อยๆ ถนนจะดีขึ้นจนไปถึงแหลมตาชี และนี่แหละครับ คือแหลมตาชี จริงๆ เราต้องเดินต่อไปจนถึงแหลมอีกนะ แต่ไม่แล้วอ่ะ กลัวมากกกก ต้องเดินอีก 2 กิโลฯ ในบรรยากาศแบบนี้ คิดว่าไม่คุ้มเสี่ยงจริงๆ เลยปล่อยโดรนดูบรรยากาศจากด้านบนแทน สวยครับ สวยจริงๆ

ตอนปล่อยโดรนน่ากลัวมากกกก… บังสามคนไม่รู้มาจากไหน จู่ๆ ก็จอดรถ แล้วเดินมาถามนั้นถามนี้ เราก็บังคับโดรนอยู่ สักพักพี่แกบอกขอถ่ายรูปด้วย กูนี่แบบ เชี่ยยย.. กูทำงานอยู่ แกก็เซ้าซี้ แบบอยากถ่าย นี่ก็เลยยิ้มไปให้ช็อตหนึ่ง แต่ไม่พอนะครับ ขอถ่ายอีกรูป ไอ่บิ้กบอกว่า คนที่นี่ ชอบขอนักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย อื้มหืมมม… แต่มาแบบนี้ก็น่ากลัวนะครับ อันนี้พูดจริง กูกลัวจริง

ขากลับก็ relax กันไปตามประสา ประมาณว่าก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนี่หว่า ก็แวะจอดถ่ายกับทะเลหน่อย ให้พอได้รู้ว่ามาอยู่แถบๆ ทะเลแล้ว จริงๆ ปัตตานีมีหาดสวยๆ เยอะ แล้วมีที่ไปก็เยอะนะ แต่ด้วยเวลาที่พวกกูจำกัดเลยแวะกันแค่นี้ เสร็จจากตรงนี้ก็เด่วยิงยาวไปยะลาก่อนที่จะมืดค่ำกัน ระหว่างขับรถไปก็หาที่พักกันเดี๋ยวนั้นเลย บอกแล้วว่าสายตายเอาดาบหน้า แต่คือ…. ยะลา หาโรงแรมใน web booking ไม่ค่อยมีเลยอ่ะ

แต่สุดท้ายก็ได้นะ ได้พักอยู่ที่หนึ่งชื่อ Linux อะไรสักอย่างจำไม่ได้ ห้องพักราคาคืนละ 750 บาท โอเคเลย อยู่กลางเมือง เข้าไป Check in ให้รู้ว่ามาแล้ว ก็เลยถามเจ๊แกไปร้านไหนน่าไปกินข้าวช่วงหัวค่ำแบบนี้บ้าง เจ๊แกก็บอกว่า บางบาย ลองไปดู จริงๆ แล้ว จะนอนปัตตานี้เลยด้วยซ้ำ แต่พอเข้าไปปัตตานี้แล้วดูไม่มีอะไร เลยเลยเถิดมาถึงตัวเมืองยะลาเนี่ย แล้วพอขับมาได้สักพักก็เจอบังเกอร์ตามมุมไฟแดง หน้าบ้าน ร้านค้า โอ้ยยยย เยอะกว่าปัตตานีอีก

สรุปค่าใช้จ่าย DAY 1 = 4,281 บาท/คน

  • ที่พักลีนุกซ์ ยะลา 1,500 บาท //หารสี่
  • ลูกชิ้นปิ้ง 89 บาท //หารสี่
  • ข้าวเย็นร้านบางบาย ยะลา 385 บาท //หารสี่
  • ค่าอาหารเที่ยงร้าน Nirsir 1,150 บาท //หารสี่
  • ค่าตั๋วเครื่องบินเฉลี่ยคนละ 3,500 บาท (ไป-กลับ)

DAY 2

CHAPTER 6 ตั้งใจจะมาที่นี่เมื่อสองปีก่อน

วันนี้ตื่นเช้าหน่อย เพราะก่อนนอนวัดระยะทางจากยะลาเข้าสู่หมู่บ้านจุฬาภรณ์ 9 ต้องใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงแบบยังไม่รวมแวะนั่นแวะนี่ตามประสาคนชอบถ่ายรูป แล้วคือเสี่ยบิ้กบอกว่า ผังเมืองที่นี่เป็นผังเมืองที่สวยที่สุดในประเทศไทย มันก็เปิดรูปให้กูดูใช่ปะ กูนี่แหบบ หูวววว ยาวๆ เลย

เช้านี้ตื่นมาก็เลยปล่อยโดรนจากที่พักเก็บภาพมุมสูงผังเมืองยะลาซะหน่อย คือมึง มันสวยจริงๆ มันเหมือนแพรีส มันเหมือนเมืองในนวนิยายที่ผังเป็นแบบใยแมงมุม มีการแบ่งช่องวงกลมกันแบบชัดเจนซ้อนกันสามวง แล้วแต่ละวงก็จะมีซอยเล็กซอยหน่อยแตกแขนงไปอีก ดีมากกกมึง กูคิดว่ากูคิดถูกแล้วล่ะที่พักที่นี่

ตัวยะลาช่วงเช้าคนที่นี่เค้าแนนะให้กินติ่มซำกัน แต่แบบ ไม่เอาอ่ะ ดูแบบหากินที่ไหนก็ได้ อยากกินแบบอาหารบ้านๆ ของฝีมือคนท้องที่ โจทย์นี้ให้น้องพีชจัดการ ซึ่งน้องมันก็ได้มาสองร้านนั่นแหละ คือติ่มซำ กับก๋วยจั๊บหน้า รร.ผดุงประชา ซึ่งก็นะ กูเลือกก๋วยจั๊บ ซึ่งก่อนไปก๋วยจับก็ขับดูตัวเมืองยะลากันหน่อย เมืองเขาก็สวยดีนะ มีย่านคนจีน ย่านคนอิสลาม แบ่งเขตกันอย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เขตแดนถูกกันแบ่งโดยทางรถไฟ ดูเหมือนเด็กทะเลาะกันทางความคิดเบาๆ สถานีรถไฟยะลาสวยนะ บริเวณตึกพาณิชย์ด้านหน้าตัวตึกมีหลากสีให้ได้ถ่ายรูปฮิปๆ กัน ไม่ไกลจากกันก็ถึงร้านก๋วยจั๊บ

ภาพแรกที่กูเห็นคือคนเยอะ คนเต็มร้าน แต่ยังมีคนมาต่อคิวหน้าร้าน ก็เข้าไปนั่งกันทั้งสี่คน ไม่รู้ว่ามีเมนูไรบ้าง แต่สั่งไปก่อนเลยว่า ก๋วยจั๊บสี่ที่ เพราะคิดว่า จะต้องได้ชาม Original มาแน่ๆ ซึ่งก๋วยจั๊บร้านนี้เป็นของชาวจีนครับ เฮียแกก็บรรจงทำ แล้วแลมองเราบ้าง เพราะรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว ไม่นานเลยมึง ก๋วยจั๊บสี่จานก็มาอยู่ตรงหน้า รสชาติแปลกดี เพราะก๋วยจั๊บที่นี่เค้าใส่ไก่ นี่เกิดมาไม่เคยกิน

กินๆ กันอยู่ เฮียแกกับแฟนก็เดินมาคุยด้วย คุยทั้งเรื่องเหตุการภาคใต้ คุยสัพเพเหระ คุยเรื่องท่องเที่ยว ถามที่มาที่ไป ประเด็นคืเฮียแกบอกว่า ช่วงที่มีเหตุการณ์ร้านแกก็โดนนะ โดนปาระเบิดเข้ามา แต่ระเบิดด้าน เฮียแกเล่า Process ของระเบิดต่อ ว่ามันเป็นระเบิดชนิดที่ต้องถอกสลักสอบครั้ง คือครั้งแรกตอนโยน และครั้งที่สองมันจะต้องเด้งออกเองตอนกระแทกกับพื้น เฮียแกย้ำอีกที ” แต่มันด้าน “ เพราะเฮียมีของดี พร้อมมองไปที่พระข้างกำแพง

อื้มหืมมม… เฮียขายของเบาๆ เลยน้า แต่นั่นแหละ เฮียแกดูภูมิใจมาก แล้วก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีแล้ว ไม่เหมือนสี่ห้าปีก่อน สมัยก่อนคนนี่แห่กันทำบังเกอร์หน้าบ้านเต็มไปหมด ใช่ครับเฮีย กูก็เห็น แต่นั่นแหละ ขอบคุณเฮียมากที่มาเล่าเรื่องราวของตัวเมืองยะลาให้ฟัง

ขับรถยาวลงมาจากยะลาสู่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา คือมึงเข้าใจป้ะ ระหว่างทางมันก็จะมีป้ายบอกทางตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสถานที่แต่ละที่มันคุ้นเหมือนเคยได้ยิน ทั้งๆ ที่ไม่เคยมา เช่น บาเจาะ งี้ บันนังสตา งี้ คือใจกูก็แป๊วๆ นะ แล้วคือเวลาผ่านด่าน ก็ยังคงมีป้าย Wanted อยู่กลายๆ ไม่นานนักก็ถึงทางแยกระหว่างทางไปเบตง กับทางไปเขื่อนบางลาง กูเลี้ยวไปทางซ้าย…

ก่อนถึงหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนาเราจะผ่านเขื่อนบางลาง ซึ่งเขื่อนนี้เป็นหัวใจของชาวบ้านบริเวณนี้เลยนะ เป็นแหล่งทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำให้แก่สัตว์ และยังเป็นเขื่อนเก็บน้ำทำพลังงานไฟฟ้าแจกจ่ายไปให้แก่ชุมชนแถวนี้ด้วย บริเวณเขื่อนเค้าก็มีจุดชมวิวให้แวะ จะไม่แวะก็เดี๋ยวเค้าหาว่ามาไม่ถึง

ขับออกจากเขื่อนไปเรื่อยๆ ทางเหี้ยมากมึง คือโค้งเยอะมาก ขับเรียบเชิงเขาเบาๆ ทางซ้าย มาไปกลายๆ เป็นอ่างเก็บน้ำฝั่งขวา ขับไปเรื่อยๆ คือเสี่ยบิ้กขับไง กูเริ่มรู้สึกจะเมารถ เลยชิงหลับไปก่อน ไม่นานนัก แม่งพวกปลุกกู บอกว่าลงมาถ่ายรูปเร็ว ถนนสวย ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครมาเลย…

สะลึมสะลือลงไป อ่ะถ่าย ก็ถ่าย เอาบอร์ดมาเล่นด้วยเลยอ่ะ ถ่ายรูปกันสักพัก ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันสงบดี เหมาะสำหรับที่จะเป็นการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติจริงๆ เพราะต้นไม้ใบหญ้านี่คือหล่นตกมาขวางริมถนนเต็มไปหมดเลย คงใกล้ถึงแล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะได้เที่ยวกันเต็มๆ แล้ว

ขึ้นรถขับไปต่อเรื่อยๆ จากหญารกขัก กลายเป็นกิ่งไม้ตกลงมากินพื้นที่ไปครึ่งถนน ต้องขับหลบขับไร โอ้ยยยย คือหลายจุดมาก แล้วริมทางก็เป็นเศษใบไม้ตาย หญ้าตายเต็มไปหมดแบบมองไม่เห็นขอบทาง ขับไปสักพัก เจอต้นไม้กิ่งไม้ตกมาเป็นกากบาทเหมือนห้ามขับไป อีนี่ก็คิดในใจแล้วว่า เนี่ยยย … ลางไม่ดีเลย

สัส…. ทางตัน ๕๕๕๕ ขับไปจนถึงทานตัน แต่ใน google map เสือกบอกว่าไปต่อได้ แล้วคือทางที่ไปต่อเหมือนจะต้องใช้ 4×4 เท่านั้น แล้วคือรถที่เช่ามาเป็น Yaris ขับไปได้เพียงแค่เนินแรกๆ ท้องรถแม่งขูดหิน ขับต่อไม่ได้ ต้องถอยหลังมาตั้งหลัก เหมือนว่าตรงนั้นเป็นโครงการอะไรสักอย่าง จำไม่ได้ นี่ก็เลยพยายามหาคนที่อยู่แถวนั้นเพื่อถามทาง กูตั้งสติ แล้วเปิด Maps.me ที่อยู่ในเครื่อง… เอ้า!!! ผิดทาง

อีพีช อีดอก มึงบอกทางอีบิ้กผิด มึงเลี้ยวซายขึ้นมาทำไมมมมม กูว่าแล้ววววว ทำไมมีต้นไม้เป็นกากบาท มันไม่น่าจะตกมาจัดเรียงได้สวยเป็นกากบาทได้ขนาดนั้น ปั๊ดโถ่วว คือมึงรู้ปะ ขับหลังมาเกือบ 20 กิโลเมตร ๕๕๕๕ พอตั้งหลักได้ ก็ใช้ GPS กูละทีนี่ ไม่ต้องนอนกันละ ราวๆ 30 นาที ก็ถึงหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 อย่างปลอดภัย

CHAPTER 7 ฮาลา – บาลา

จำได้ว่าตอนกูคุยโทรศัพท์กับคนเดินเรื่องให้ที่ชื่อหลินปิงแม่งคุยกับกูห้วนมาก นี่มาถึงแล้วไม่รู้จะไปไหนเลยมาแวะร้านขายของชำของอาม่าเค้าก่อน ถามอาม่าว่ารู้จักหลินปิงไหม แกบอกเด่วมันมา สักพัก หลินปิงก็มาจริงๆ เอามือยกไหว้สวัสดีครับพี่หลินปิง ผมคนที่จองเดินป่ามานะครับ คุยไปคุยมา อ้าว น้องกู ๕๕๕๕๕

ก็ถือว่าไหว้น้องมันไปละกัน หลินปิงมันจะมีทีมมันอยู่ 3 คน คือมีมัน มีอาฉี่ แล้วก็ไอ่โก้ ทุกคนอายุเท่าๆ กันหมด คือราวๆ 22 ขวบ มันเป็นเด็กรุ่นใหม่ของหมู่บ้านนี้ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีจะนำเทคโนโลยีกระจายข่าวว่าหมู่บ้านมันเนี่ย มีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นะ แล้วคือมันจัดการให้หมด ตั้งแต่ที่พัก ค่าอาหาร ไกด์ คนนำทางเข้าป่า ด้วยเงินคนละ 1,500 บาท ตลอดสองวันหนึ่งคืน

วันแรกเราไปถึงเที่ยว คุยกันคร่าวๆ คือกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็เดินป่า เดินป่าเสร็จก็ไปคลองน้ำใส ครึ่งวันของวันที่สองมีแค่นี้ ไม่ต้องรีบร้อน บรีฟพอหอมปากหอมคอก็พากันขึ้นห้องนอ…เห้ย!! เอะอะจะนอนอย่างเดียว เก็บของก็พอแล้ว เก็บของเสร็จก็กินข้าวกัน กับข้าวที่นี่ชาวบ้านเป็นคนทำกันเองสดๆ วัสดุ เดี๋ยวว… วัตถุดิบ!!! เอออ นั่นแหละ วัตถุดิบก็เอามาจากข้างบ้าน ปลาก็เอาจากเขื่อน ทุกอย่างที่นี่คือ… รู้ทั้งรู้เธอนะดีต่อใจ????? Organic ไงอีเหี้ย!!!

กับข้าวกับปลาแซบมาก แล้วคือที่หมู่บ้านก็จะมีศาลากิจกรรมตรงนี้ที่จะให้ชาวบ้านเอาผลไม้ที่บ้านมาขายกัน ราคาก็พอหอมปากหอมคอทุกอย่างโลละ 30 บาท ทุเรียน ลองกอง สละ กล้วยทอด โอ้ยยย เยอะมากๆ แล้วที่สำคัญคืออร่อยด้วย

เติมทุกยอ่างเสร็จ คราวนี้ง่วงนอนจริงๆ และ การเดินป่าครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ตชด. จะต้องเป็นคนนำทางเราเข้าไปสองคน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผืนป่าฮาลาบาลาครับ เรานั่ง 4×4 ไปสักพัก ฝนเทห่าลงมา ให้ตายเถอะ ฝนตกหนักมาก ไอ่โก้มันก็ไม่ตามเจ้าหน้าที่ให้มานำทาง เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่นำ… กลัวน้ำป่า เอ้าอีเหี้ย ๕๕๕๕๕ กูงงเลย แล้วนี่คือยังไง สรุปจะเอายังไง สรุปก็คือ เดี๋ยวโก้กับหลินปิง จะเป็นคนนำทางเราไปเอง

ไอ่โก้ตีรถกลับขับไปรับหลินปิง ก็มากันแบบงงๆ แต่เชื่อใจน้องๆ ครับ ขับเข้าไปในโซนเดินป่าช่วงแรกคืออึ้งแล้ว ป่าอุดมสมบูรณ์มากกกก มากแบบสุดๆ มีหมอก มีความเขียว ความต้นไทรร้อยปี ความอะไรก็ไม่รู้ ชูปี้ดูวั๊บไปหมด รถลงจอด แล้วเราก็เดินเท้ากันต่อเลย

การเดินทางศึกษาดูธรรมชาติของหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 ครั้งนี้จะเดินราวๆ 3 ชั่วโมงครับ แล้วคือเดินเข้าไปเพื่อที่จ่ะไปดูน้ำตกฮาลาซะห์ ดูจากภาพแล้ว คิดว่าต้องอเมซิ่งแน่นอน เดินไปไม่ทันเราก็เจอกับต้นไทรต้นใหญ่ ถ่ายรูปเบาๆ ให้พอได้รู้ว่ามาด้วยกันสักรูป ก่อนที่จะเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ

พืชพรรณไม้เยอะจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้ เดินไปสักพักก็เจอทากตัวแรก และตัวที่สองเกาะขาเรื่อยๆ นี่ก็พยายามเอานิ้วดึงออกตลอดทางเพราะกูใส่เสื้อกล้ามแล้วก็กางเกงขาสั้น ไม่นานนักก็ถึงแหล่งน้ำ จากตรงนี้เราจะเดินริมน้ำไปเรื่อยๆ ในบางจุด และข้ามแม่น้ำอีกสักสองที่ก่อนถึงน้ำตก มึงคือมันดีมาก ช่วงนี้ให้ภาพบรรยายแทนได้มั้ย เพราะเอาปากเล่าไม่เห็นภาพความสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้แน่นอน

ตาดูไป แต่ใจก็ต้องอ่านเรื่องราวของป่าแห่งนี้กันหน่อย จะได้รู้ถึงที่มาและความสำคัญของป่าแห่งนี้มากขึ้นเด้อ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา เป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นผืนป่าที่ประกอบไปด้วยผืนป่าสองผืน คือ ป่าฮาลา ในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และ ป่าบาลา ในพื้นที่อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส แม้ป่าทั้งสองผืนนี้จะไม่ได้ติดเป็นป่าผืนเดียวกัน แต่ทว่าในปี พ.ศ. 2539 ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าร่วมกัน

โดยคำว่า “บาลา” มาจากคำว่า “บาละห์” ที่แปลว่า “หลุด” หรือ “ปล่อย” มีที่มาจากช้างเชือกหนึ่งที่หนีเข้าป่าฝั่งอำเภอแว้ง และคำว่า “ฮาลา” หมายถึง “อพยพ” หมายถึง ผู้คนที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากตัวเมืองปัตตานีในอดีต จนมาอาศัยอยู่เป็นชุมชนรอบ ๆ ชายป่า โดยป่าแห่งนี้อาจเรียกชื่อสลับกันได้ว่า บาลา-ฮาลา โดยผู้คนที่อยู่ในอำเภอแว้งจะเรียกว่า “บาลา-ฮาลา” แต่คนที่อาศัยในอำเภอเบตงจะเรียกว่า “ฮาลา-บาลา” เป็นไง กูเป๊ะมะ ใช่ copy จำ wiki แล้ว pates เลย ๕๕๕๕๕

อ่ะ มา copy pates ต่อ… มีการสำรวจสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพบว่ามีทั้งหมด 54 ชนิด หลายชนิดเป็นสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์ เช่น กระทิง เซียมมัง หรือชะนีดำใหญ่ ซึ่งเป็นไพรเมทจำพวกชะนีขนาดใหญ่ ที่แพร่พระจายพันธุ์ในคาบสมุทรมลายูจนถึงเกาะสุมาตรา โดยพบที่นี่เป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย นอกจากนี้แล้วยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของนกเงือกจำนวน 10 ชนิด จากทั้งสิ้น 13 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย โดยเฉพาะนกเงือกกรามช้างปากเรียบ หนึ่งในชนิดของนกเงือกกรามช้าง ที่อพยพบินรวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ จำนวน 10–20 ตัว จากป่าห้วยขาแข้งในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก มายังที่นี่ในพื้นที่อำเภอเบตง ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยรวมจำนวนนกทั้งหมดแล้วมีประมาณ 500 และการสำรวจล่าสุดพบมากถึง 2,000 ตัว

ตอนแรกน้องมันบอกใช้เวลาสามชั่วโมง กูเดินจริงๆ หนึ่งชั่วโมงก็ถึงน้ำตกแล้วครับ แล้วคือน้ำตกในรูปที่ถ่ายมาไม่สวย ไม่ใหญ่ ไม่อลังกาลเท่าที่ตาเห็นเลยมึง กูแบบ… ทำยังไงจะให้คนอ่านเข้าใจว่ามันยิ่งใหญ่มาก อ่ะ งั้นลองหลับตา นึกภาพตามนะ เราไปยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งที่มีน้ำที่หล่นลงจากหน้าผาร่ายล้อมอยู่ มีเสียน้ำตกหล่นมาจากหินอีกก้อนแบบมหาศาลสูงจากพื้นดินราวๆ 200 เมตร ตกลงมากระทบกับน้ำด้านล่างปนกับโขดหินบางจุด มีละอองน้ำกระเซ็นเข้าหน้าบางจังหวะ แต่เสียงน้ำตกดังลั่นไม่หยุด และดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหยุดเลย กลิ่นป่า กลิ่นไอ่น้ำ กลิ่นพืชพรรณ กลิ่นเหงื่อที่เดินป่ามาเหนื่อย ลามไปถึงกลิ่นรักแร้ที่ลืมทาโคโลนมันฟุ้งขึ้นมาตีจมู…สัส!!! เหม็นเหี้ยๆ ไปที่อื่นต่อเถอะ

CHAPTER 8 นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย

จบจากเดินป่าฮาลาบาลาเราจะพาเพื่อนๆ มันจะเป็นรูทที่นั่งเรือหางยาวไปดูต้นน้ำ ที่ไหลผ่านเขามาจากสุคีรินเมืองนราธิวาสเว้ย คือก็นั่ง 4×4 ออกไปจากจุดเดินเท้าของทางไปน้ำตก ตรงไปราวๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จะมีท่าเรือของชาวบ้านอยู่ทางซ้ายมือ เรือเป็นเรือไม้ หางยาว คล้ายๆ ที่เห็นริมน้ำโขงทั่วไป

บรรยากาศตอนล่องเรือในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนบางลางมันจะเหมือนเขื่อรัชประภาฯ เลย ที่นี่แม่งฟีลเดียวกัน แต่เพียงแค่บริเวณโดยรอบที่เป็นภูเขาไม่ใช่เขาหินปูนสูงๆ แต่จะเป็นเชิงเนินเขากับป่ารกทึบมากกว่า ระหว่างทางไปจะเห็นรอยน้ำที่เคยขึ้นสูงในช่วงก่อนหน้า ดูเหมือนว่าน้ำจะลดลงมาเยอะมาก เพราะเห็นตอไม้ผุดเยอะ แล้วก็ความสูงจากรอยเดิมจนถึงระดับน้ำค่อนข้างสูงราวๆ 1-2 เมตร

ในแอ่งน้ำก็จะมีเกาะอยู่เกาะหนึ่งที่มี ตชด. คอยอาศัยดูแล เจอนกบิน นกเงือกก็เจอ แต่ถ่ายมาไม่ได้ตอนนั้นคือเม็มกูเต็ม เจอนกไรไม่รู้เกาะกิ่งไม้ เจอนาก แต่ถ่ายไม่ทัน เห็นทะเลหมอกลอยเหนือน้ำ คือมึง นั่งเพลินๆ เลย ไม่นานอ่ะ แป็บเดียวเรือก็จอด แล้วบอกว่าถึงแล้ว…

ผิดคาดดด… ในหัวคิดคำว่าคลองน้ำใสคือคล้ายๆ สระมรกตหรือบ่อน้ำผุดที่จังหวัดกระบี่ แต่คือมันดีคนละแบบ นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!??? จุดนี้คือต้นน้ำ ที่น้ำไหลออกมาจากเขา รอบๆ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวอุดมสมบูรณ์มาก คาดว่าถ้ามาถูกเวลาเราต้องเห็นสัตว์ป่าเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้แน่นอน คือมึง กูไม่รู้จะพูดยังไง มันดีจริงๆ

ก็พากันเดินข้ามแม่น้ำไป ดีนะ กูพกเบียร์มาสองกระป๋อง เลยเอาเบียร์แช่ตรงทางน้ำผ่านเพิ่มความเย็นให้กับเครื่องดื่มเสียหน่อย แล้วคือมึงรู้อ่ะไรไหมว่า น้ำเย็นมาก อากาศดีมากกก หมอกลอยต่ำมากกกกก ทุกอย่างดีหมดเลย ไม่ได้ยินเสียงรถยนต์ กลิ่นท่อไอเสีย หรืออะไรที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ทุกอย่างกลับกันหมด และบวกกับภาพวิว 360 องศา ที่พยายามดูให้เบื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เบื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ฟ้าเริ่มสว่างน้อยลง ก็พากันเดินกลับ ระหว่างทางเดินกลับก็ไม่อยากจะกลับทางเดิม เพราะหินเยอะมาก ไม่อยากสปาเท้าอีกรอบ เลยเดินไปทางที่มีโคลนหน่อย ให้อีบิ้กนำทาง กำลังคุยกันได้ไม่นาน จู่ๆ อีบิ้กก็ถูกโคลนดูดไปครึ่งตัว กูนี่ตลกมาก หัวเราะกันแบบปวดท้อง คือไม่สามารถหยิบกล้องมาถ่ายได้ทัน ถ่ายได้ตอนมันขึ้นมาได้แล้วอย่างที่เห็นในภาพ

วันนี้เป็นอีกวันที่สนุกมากมึง คือกูแบบกลับมากูต้องมาเล่าให้ใครคนใดคนหนึ่งฟังว่าหมู่บ้านนี้มันดียังไง มาอยู่แค่วันเดียวก็สังเกตเห็นถึงความสามัคคีของชุมชนแล้วอ่ะ คือแต่ละกิจกรรมไม่ใช่คนเดิมๆ ที่พาเราไปนะ เค้าจะส่งให้คนที่ Expert ทางนั้นพาเราไป แต่ก็มีน้องหลินปินที่คอยประสานงานให้ พรุ่งนี้น่าจะสนุกกว่าเก่า แต่วันนี้เหนื่อยมากมึง เตรียมแรงกันมาเยอะๆ

สรุปค่าใช้จ่าย DAY 2 = 1,798 บาท/คน

  • ก๋วยจั๊บหน้ารร.ผดุงบำรุงประชา 140 บาท //หารสี่
  • เติมน้ำมัน 700 บาท //หารสี่
  • ขนม 193 บาท //หารสี่
  • ผลไม้ 160 บาท //หารสี่
  • ค่าทริป คนละ 1,500 บาท

DAY 3

CHAPTER 9 ขอตั้งชื่อให้ใหม่

วันนี้มึงต้องตื่นเช้ากันหน่อยละ เพราะหลินปินบอกก่อนนอนเมื่อวานว่าเดี๋ยวตีห้าครึ่งจะมารับ พวกแม่งเล่นตั้งปลุกกันตั้งแต่ตีสี่เลยมึง ๕๕๕๕๕๕๕๕ จะดีดกันไปไหน อ่ะ ตื่นตีสี่ก็ตื่นไป แต่กูขอนอนต่อนะ นี่เป็นพวกไม่อาบน้ำตอนเช้อยู่แล้ว ถ้านัดตีห้าครึ่ง ตื่นตีห้ายี่สิบห้ายังไงก็ทัน

เตรียมตัวกันเสร็จไม่นานมาก ก็มีเสียงรถดังอยู่ข้างบ้าน… อ่อ… ลืมเล่าเรื่องที่พักไปเลย ที่พักเป็นโฮมสเตย์ของชาวบ้าน คือเป็นบ้านของคนที่อยู่ที่นี่จริงๆ แต่แบ่งห้องให้เรานอน มึงก็อย่าคิดถึงความหรูหราสบายด้วยการบริการแบบห้าดาวอะไรแบบนั้นนะ คิดง่ายๆ ว่ามานอนบ้านญาติที่ต่างจังหวัด แล้วจะไม่รู้สึกว่ามันแย่เลย แถมดีเสียอีก ด้วยความที่อากาศที่นี่ดีอยู่แล้ว แอร์ไม่ต้องเลย เปิดผัดลมก็หนาวไข่สั่นจะอยากจะขอผ้าห่มเพิ่มอีกสักผืน

น้องมันมารับ คราวนี้เป็นรถดีหน่อย คล้ายๆ รถสองแถวที่เป็น 4×4 อ่อ… มึงชอบแนวนั้นหรอ ป่าวอ่ะ กูขอนั่นหน้า ๕๕๕๕ ก็ไม่ใช่อะไร ช่วงที่ไป มีกลุ่มอีกกลุ่มที่มากันเจ็ดคน เค้ามาเที่ยวช่วงเดียวกันกับเราพอดี แล้วคือก็พยายามทำความรู้จักกันตั้งแต่เจอกันแล้ว แล้วมึงความบังเอิญคือไรรู้ป้ะ คนจัดทริปกลุ่มนั้นแม่งเสือกชื่อคล้ายๆ กู เค้าชื่อ “ มาย “

นั่งรถไปไม่นานความสว่างจากหน้ากระจกที่มองลอดออกไปก็เริ่มสว่าง ไฟหน้าที่เปิดไว้แยงตาสัตว์เลื้อยคลายตามถนนก็ปิดลงแทนที่ด้วยแสงตะวันจางๆ ที่ยังไม่ทอแสงดีนัก เราไปถึงจุดเดินขึ้น แล้วพบว่ามันห่างจากตัวหมู่บ้านมาไกลมาก เพราะมันอยู่คนละจุดกันอย่างสิ้นเชิง ต้องขับรถมาราวๆ 15 นาทีถึงจะถึง หรืออาจมากกว่านั้น มองหาทางขึ้น หรือป้ายบอกทาง ไม่เจอ จนกระทั่งน้องมันบอกให้เดินตาม

ก่อนขึ้นจะเห็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเยอะแยะเต็มไปหมด คือดีมากมึง ดีจริงๆ เค้าห่วงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว กูนี่คิดว่าพี่เค้าจะเป็นคนนำทางเราไปแต่เปล่า!! ช่วงที่เราไปมันมีความบังเอิญตรงนี้ นายอำเภอของไทย กับนายอำเภอของมาเลเซียนัดกันมาเตะบอลที่หมู่บ้าน ช่วงที่เราไปหมู่บ้านเลยดูครึกครื้นมาก และแลดูมีการรักษาความปลอดภัยกันทั่วท้องที่

สิ่งอีกสิ่งหนึ่งเราอ่านเจอคือถ้าไปเที่ยวสามจังหวัดฯ อย่าอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่ แต่นี่คือเหมือนมาดงเจ้าหน้าที่เลยจร้า อ่ะ… ก็ตามนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่คงไม่เกิดกับกรุ๊ปของกูแน่ๆ เริ่มต้นทางเดินแม่งโคตรชัน คือแทบจะต้องใช้สี่มือสี่เท้า มันชันมาก ชันตลอด ชันเรื่อยๆ ไม่มีทางราบ แม้จะเป็นเขาที่ไม่สูงมาก และระยะทางไม่ได้ไกลขนาดนั้น แต่ความชัน ก็ทำให้มึงหอบได้เหมือนกั….เชี่ย!!!! สวยเหี้ย!!!!!!!!!!!!

ไม่คิดว่าข้างบนจะสวยขนาดนี้ มองไปทางซ้ายจะเห็นทะเลหมอกกำลังหล่นจากเขาเข้าอ่างเก็บน้ำ ตรงหน้ามีป้ายเขียนว่าลานหินโยก และมีหินก้อนหนึ่งใหญ่ๆ ที่สามารถโยกได้ นี่คงเป็นที่มาของชื่อสินะ ถ้าจะตั้งง่ายกันขนาดนี้ เอาจริงๆ คือระหว่างทางขึ้นมาไม่ได้สนใจธรรมชาติอะไรมาก เพราะมองเห็นแค่พืนที่เดิน สมาธิอยู่กับการจ้วงก้าวแล้วก้าวเล่า เพราะชันโคตรๆ

สำหรับกูนะ กูว่าตรงนี้เป็นการดูทะเลหมอกที่บ้านๆ แต่ดีมากๆ เลย หมอกมันหนามาก มันไม่ได้โด่งดังอะไรจนคนแห่กันมาเยอะ อาจเพราะเดินทางมายากด้วยแหละ แต่เพราะสิ่งนี้มั้ง ที่ทำให้เหมือนเขาลูกนั้นเป็นเขาของเราในวันนั้น ทะเลหมอกไหลช้าๆ พร้อมแสงแดดที่แรงกล้าขึ้น ตั้ง Time-lapse แล้วย้อนกลับเปิดวนมาดูก็ทำให้ชื้นใจฉิบหายเลย และด้วยความที่หมอกมันไหลลงร่องเขาเหมือนน้ำตก พวกกูเลยอยากตั้งชื่อใหม่ให้จุดชมวิวแห่งนี้เป็น… “ น้ำตกหมอก “ แทนจุดชมวิวเขาหินโยกกัน ๕๕๕๕

ขาขึ้นไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ แต่ขาลงมานี่สิ ลงมาถึงไม่คิดว่าจะมีคนมารอต้อนรับเยอะขนาดนี้ ทั้งชาวบ้าน หนวยทหารกองกำลังเฉพาะกิจ หน่วยรักษาความปลอดภัยชาวบ้าน และรถอีกราวๆ สี่ห้าคันรอต้อนรับพวกเราอยู่ คืออ่านมาถึงตรงนี้ถ้ามึงเชื่อก็โง่แล้ว รถกลุ่มนั้นก็เป็นของพวกนายอำเภอสิเอ้อออ ก็นะ ก็รอจนกว่าคนจะลงมาครบ ได้ร่วมพูดคุยกับชาวบ้าน ทหาร ขอถ่ายรูปคู่ รวมถึงนายอำเภอด้วย วันนั้น Happy มากนะ รู้สึกดีจริงๆ

กลับมาถึงที่พักด้วยความคาดหวังเรื่องอาหาร มันเหมือนแบบ Mystery table อ่ะ ไม่รู้ว่ามื้อนี้จะได้กินอะไร แต่ให้ตายเถอะ เหมือนชาวบ้านพี่ป้าน้าอารู้ ว่าเราต้องการแค่ปาท่องโก๋ร้อนๆ กับอะไรอุ่นๆ มากินกันแก้ขัดตอนเช้าเท่านั้น มื้อเช้าชาวบ้านทำปาท่องโก๋กับสังขยาใบเตยให้ คือดีมากกก ดีมากมึง สังขยาที่ไม่ใส่สีเขียวๆ มาหลอก เหมือนในเมือง แต่เป็นสีเขียวตุ่นๆ ไม่น่ารักเท่าไหร่แต่ดีต่อใจมากๆ กลิ่นหอม หวานมัน กำลังดี กินไปก็นึกถึงสมัยเด็กๆ ไม่ได้กินสังขยาใบเตยแบบนี้มานานแล้ว

แล้วคือปาท่องโก๋ที่เค้าทำ มันไม่เหมือนปาท่องโก๋ตามตลาดเลย มันเป็นการหมักแป้ง นวดแป้งกันเอง แล้วเอามาทอดแบบดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง คือเหมือนทอดไปพอได้ได้มากินแบบไม่เอาอะไรมากอ่ะ จริงๆ ความไม่ใส่ใจในความสวยงามของบางอย่างกูดันกลับมองว่าดีนะ ไม่แต่งเติม ไม่ตกแต่ง ดูไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหา หรือใส่ชุดสวยๆ ให้ดูเป็นพิธี ชอบความไม่มีเปลือกของคนที่นี่

CHAPTER 10 คอมมิวนิสต์มาลายู

จริงๆ ตอนอยู่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 ไม่กี่วัน แต่เหมือนอยู่นานมากนะ เพราะแต่ละช่วงของวันดูใช้ไปอย่างมีคุณค่ามากๆ วันนี้ก่อนที่จะพากันขับรถลาจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป ก็กะจะไปศึกษาประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านแห่งนี้กันหน่อย ว่าทำไมถึงมาอยู่กันกลางป่าขนาดนี้ แล้วมึงรู้อะไรปะ หลังจากพี่ฟังประวัติศึกษาดูงานของหมู่บ้านเสร็จ กูนี่น้ำตาคลอเลย กูกลัวลูกหลานไม่รักษาหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ให้เหมือนกับที่รุ่นปู่รุ่นทวดเค้าทำกัน

เรื่องมันเป็นแบบนี้ ย้อนไปไกลตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมชุมชนที่นี่คือคอมมิวนิสต์มาลายา ระหว่างนั้นก็เกิดลัทธินาซีในเยอรมัน และฟาสซิสต์ในอิตาลีและญี่ปุ่น จนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง เหตุการณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นบุกสิงคโปร์จนลามมายึดครองมาเลเซีย ซึ่งในตอนนั้นคอมมิวนิสต์มาลายา ได้ร่วมกับรัฐบาลอังกฤษต่อต้านจักรพรรตินิยมญี่ปุ่นได้สำเร็จ ใช้เวลานานกว่า 3 ปี 8 เดือน

จากนั้นรัฐบาลอังกฤษจึงมอบเหรียญ “The Oder Of The British Empire” ให้แก่นายเฉินผิงผู้นำคอมมิวนิสต์มาลายา ณ กรุงลอนดอน เหมือนว่าจะดี แต่แม่งเหตุการณ์กลับกัน ในเวลาต่อมาอังกฤษดั้นกลับมายึดครองมาลายาเป็นอาณานิคมเหมือนเดิม แต่ก็ยังให้การรับรองว่าคอมมิวนิสต์มาลายาเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฏหมายอยู่ แต่คือเข้าใจปะว่า ก็สู้มาด้วยกัน จู่ๆ มายึดกูอีกรอบ มันก็ต้องมีคนคิดต่างกันบ้าง

และความตอแหลของการเมืองก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลสหพันธรัฐมาเลเซียภายใต้อังกฤษ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินให้โค่นล้มและยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศ ตอนนั้นมีการจับกุมและกวาดล้างกันครั้งใหญ่ แต่คือก่อนหน้านี่จากการที่กลุ่มคอมมิวนิสต์ถูกหักหลัง ก็ได้มีการจัดตั้งกองทัพประชาชนมาลาขึ้น โดยลักษณะเป็นกองกำลังใต้ดินเพื่อต่อต้านอังกฤษไว้ส่วนหนึ่งแล้ว หลังเหตุการณ์กวาดล้างจบลง จึงมีมติที่ประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่เหลืออยู่เพื่อต่อต้านอังกฤษตั้งแต่แรก ได้เปลี่ยนมาจัดตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชาติมาลายาสามพวกใหญ่ๆ คือ กลุ่มบุคคลร่วมมือกับอังกฤษต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา, กลุ่มบุคคลร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาสู้เพื่อเอกราช และกลุ่มบุคคลเดินตามแนวทางของซูกาโน่ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย รวมมือกับกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายูต่อสู้เพื่อเอกราช

จึงเกิดสงครามกันใหญ่โตหลังจากนั้น และถอยร่นเข้ามาในประเทศไทย เพราะถูกกวาดล้างอย่างหนัก เพื่อเป็นการรักษากองกำลังที่เหลืออยู่ไม่ให้ถูกทำลาย จึงต้องอาศัยตัวอยู่กลางป่าฮาลาบาลาเพื่อความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์

ในช่วงนั้น แม้แต่เด็กและผู้หญิงก็ต้องจับปืน ใช้ยังไม่เป็น ก็ต้องจับไว้เผื่อเวลาที่ใครมารุกราน จนในช่วงหนึ่งตั้งหลักได้ และได้เพิ่มกองกำลังนักรบโดยการประกาศรับสมาชิกเพิ่มจากชายแดนไทยและมาเลย์ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่คิดไม่ถี่ถ้วน พอรับเข้ามาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ เกิดการแตกหักภายใน และรั่วไหลของแหล่งข่าว จนทำให้ฝั่งอังกฤษรู้ที่อยู่ของกลุ่มคอมมิวนิสต์ สูญเสียกำลังพลไปมาก และเกิดการแยกตัวของผู้นำฝ่ายต่างๆ ทั้งสามทันที

บางกลุ่มที่ยังอยู่จึงต้องรับศึกรอบด้าน จากรัฐบาลสหพันธรัฐบาลมาเลเซียภายใต้อังกฤษก็มี ฝั่งรัฐบาลไทยก็ไม่น้อยหน้า จึงทำให้พวกเขาต้องทำอาวุธยุทโธปกรณ์ใช้เอง ทั้งสิ่งพิมพ์ การรักษา รวมถึงอุปกรณ์สื่อสาร พวกเขาก็ต้องทำกันเอง ผมมองว่าเก่งมากๆ เลยนะ

เหตุการณ์ผ่านไปเรื่อยๆ จนสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป คอมมิวนิสต์จีนตัดการสนับสนุนกับทุกด้าน นึ่งทำให้สงครามครั้งนี้สงบศึก และในปี 1989 หรือ พ.ศ.2332 มีการเจรจาสันติภาพร่วมกัน โดยใช้แนวนโยบาย 66/23 เนื้อหามีอยู่ว่า ทางพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา จะยุติการต่อสู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธ มีการสลายกองกำลัง ทำลายอาวุธ เพื่อยกเลิกสงครามนั่นเอง ซึ่งภายในก็จะเก็บของทุกอย่างที่ใช้งานจริงๆ ในตอนนั้นไว้ให้คนรุ่งหลังได้ดูกันครับ ผมนี่อึ้งไปเลยนะ ไปดูภาพกันว่ามีอะไรแปลกตา และทำให้เราอึ้งกับความเป็นอยู่ในสมัยนั้นบ้าง

ภาพเก่าๆ ที่เพื่อนๆ เห็นในหอประวัติศาสตร์ คือภาพที่ถ่ายจากกล้องด้านบนเครื่องนี้ตัวเดียวครับ จ๊าบมากๆ ดูการทำภาพพาโนลาม่าสมัยนั้นเสียก่อน เก๋สุดๆ และจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธและสลายกองทัพเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตามข้อตกลงนามสัญญาสันติภาพ ๓ ฝ่าย เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ กองทัพภาคที่ ๔ โดยพลทหารราบที่ ๕ ได้จัดทำโครงการรับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยขึ้น เพื่อรองรับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยมีระยะเวลาของโครงการ ๖ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๓๓ – ปีงบประมาณ ๒๕๓๘ โดยจัดตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นเป็น ๔ หมู่บ้าน เรียกว่า หมู่บ้านรัตนกิตติ ๑,๒,๓, และ ๔ ตามลำดับ

ต่อมา ศาสตราจารย์ดอกเตอร์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงมีพระประสงค์จะทำการพัฒนาโครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และ ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เพื่อให้เกิดความมั่นคงในพื้นที่แนวชายแดนจึงได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับหมู่บ้านรัตนกิตติทั้ง ๔ หมู่บ้านเข้าร่วมโครงการของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และทรงพระราชทานชื่อหมู่บ้านใหม่เป็น หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๙,๑๐,๑๑,๑๒ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๖

และก่อนที่ผู้นำเฉินผิงจะจากไป ในช่วงปี 2545 ก็ได้ทำหนังสือยื่นไปที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งช่วงนั้นคือนายกทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอเชื้อชาติเป็นชาติไทย โดยผลจากการยื่นเรื่องไป ก็ทำให้คนทั้งหมู่บ้าน ได้สัญชาติไทยตามความคาดาหมายทุกค นพอฟังเสร็จกูนี่แอบรักในประวัติของหมู่บ้านแห่งนี้ไปโดยปริยาย มึงต้องมายืนอยู่จุดเดียวอย่างกู จุดที่คนในประวัติศาสตร์จริงๆ แบบมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย มาเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้มึงฟัง อาม่าแกพูดไทยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่แกก็พอฟังรู้เรื่อง อาม่าเล่าไปยิ้มไป ดูรักหมู่บ้านตัวเองมาก ซึ่งในชีวิตประจำวันแล้ว อาม่าแกใช้ภาษาจีน

อ่า… ลืมบอกไปเลย และด้วยความที่มีหลากเชื้อชาติในตอนนั้น ทั้งอังกฤษหลงรักมาลายู มาลายูหลงรักคนจีน ด้วยความที่มีหลากกลุ่ม และมีเป้าหมายเดียวกัน จึงทำให้หมู่บ้านนี้อยู่กันแบบหลายเชื้อชาติมาก และก็รักใคร่กลมเกลียวกันสุดๆ พอทุกอย่างจบลงอย่างสงบสุข ได้เชื้อชาติไทยเรียบร้อย อาม่าแกนี่แหละ เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงเงินจากด้านนอกเข้ามาด้านใน เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้แล้ว ชาวบ้านก็จะไม่มีเงิน ต้องออกไปข้างนอกทำงานเพื่อหาเงินกัน จากเรื่องราวเหล่านี้นี่แหละ กูน้ำตาคลอดนิดๆ แต่ก็กลั้นใจเอาไว้แล้วหันไปบอกหลินปิงแล้วก็อาซี่ว่า พวกมึงอย่าทิ้งหมู่บ้านนี้ไปไหนนะเว้ย เดี๋ยวกูจะช่วยอีกแรง…

ปัจจุบันยังมีอาม่าอากงและคนรุ่นหลังที่ยังมีชีวิตจริงๆ ในช่วงสงครามอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้บางส่วน กูก็ได้แต่หวังให้ลูกหลานของท่านทั้งหลาย รักบ้านเกิด และสืบสานเจตจำนงของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ให้รู้รักรู้ปกป้องแผ่นดินและสัญชาติอันที่ไม่ได้มาง่ายๆ แห่งนี้อย่างนี้ไว้นานเท่าที่จะนานได้ แม้จะมีบางครอบครัวย้ายออกไปบ้างแล้วก็ตาม

เรื่องราวในช่วง ฮาลาบาลา เป็นอีกหนึ่งจุดที่กูประทับใจมากๆ จุดหนึ่งเลยนะ กูอยากให้มึงมาที่นี่เหมือนกูบ้าง มาดูเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างน่าภูมิใจของคนที่นี่ ถ้าเข้าใจและสัมผัสกับคนที่นี่จริงๆ กูเชื่อว่าทุกคนจะต้องรักหมู่บ้านจุฬาภรณ์ทั้งหมดในบริเวณนี้ ไม่ใช่เฉาพะแค่หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๙ กูขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญในการประชาสัมพันธ์ให้คนที่อ่านทุกคนเดินทางไปเยี่ยมเยียนชุมชนนี้ เขาจะได้ไม่เหงา และเพิ่มกราฟเศรษฐกิจของหมู่บ้านให้สูงขึ้นด้วย

//อ่านรีวิวตัวเต็มของ ฮาลา-บาลา : https://www.palapilii.com/archives/16001

CHAPTER 11 หลง

กูเบื่อการจากลามากที่สุดในโลกเลย เรื่องนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้กูไม่อยากรู้จักใครแบบลึกซึ้งให้มากกว่าคนรู้จักเพื่อพบ และผ่านไป หากการได้รู้จักลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์หยั่งรู้จนกลายเป็นคำว่าสนิทแล้ว เมื่อเกิดปรากฏการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ ย่อมเกิดความรู้สึกที่มีต่อกันแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

จากตัวหมู่บ้านขับออกมาก็ยังคงไม่ชินกับเส้นทางที่โค้งเยอะมากๆ และก็ยังล้อกันอยู่เลยว่าเมื่อวานพวกมึงหลงกันไปได้ไง กูหลับไปแป็บเดียวเอง ไม่นานก็ถึงเขื่อนบางลาง และไม่นานก็ถึงสะพานข้ามป่าระหว่างป่าฮาลา จ.นราธิวาส และป่า บาลา จังหวัดยะลา จุดนี้เองเป็นจุดที่คนชอบถ่ายรูปกันเยอะ มันไม่ได้สวยอะไรเลยมึง ความสวยไม่ได้มาก แต่พอได้รู้เรื่องราวของผืนป่าแล้ว… เชี่ย ไม่ลงไปถ่ายไม่ได้จริงๆ ว่ะ กูรักป่าสองผืนนี้

ก็คุยกันว่าเดี๋ยวไปเจอกันที่จุดขึ้นฆูนุงซีรีปัตตอนบ่ายสาม สรุปคือพวกหลินปิง อาฉี่ ไอ่โก้ แล้วก็น้องๆ กลุ่มเจ็ดคนแม่งขึ้นพร้อมเราเลยเว้ย จากตอนแรกคิดว่าจะเที่ยวเหงาๆ กันสี่คน กลายเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มใหญ่ขึ้นมาเสียงั้น ก็นัดกันว่าเดี๋ยวเจอกันที่จุดเตรียมขึ้นเลย ระหว่างนี้ก็กะจะไปหาก๋วยเตี๋ยวกะลาที่พวกแม่งแนะนำมาว่าควรไปกิน

แวะ 7-eleven น้องมันบอกว่า กม.40 ก็ถึง แต่คือมึงเข้าใจป้ะ ด้วยความที่เราไม่รู้ว่า กม.40 เนี่ย มันวัดมาจากตรงไหน ก็ขับไปไกลจนเลย กม.40 จนถึงด่านตรวจ กม.23 นี่ก็ยังเข้าข้างตัวเองอยู่เลยว่าใกล้ถึงแล้ว ขับไปขับมา อ้าวอีเหี้ย ป้ายเบตงบอกว่าอีก 11 กิโลเมตรจะถึง ความล๊อกแล็กจึงบังเกิด

สรุปยังไง กม.40 นี่คือมึงวัดจากไหนไปไหน พยายามคุยกันในรถจนกลายเป็นเริ่มมีปากเสียง อารมณ์มันขึ้นเว้ย นี่ถ้า กม.40 ที่ต้องวัดจาก เบตงจริงๆ คือกุเลยมา 30 กิโลเมตรเลยนะ แล้วคือสรุป…. กูขับเลยมาจริงๆ จร้า นี่อยากจะขับรถวนกลับไปทุบน้องมากๆ ไหนบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงก็ถึงวะ เห้ออออ…

อ่ะ… คงไม่ไปแล้วล่ะ กม.40 อ่ะ เพราะจุดนัดพบอยู๋ กม.28 แล้วคือกลัวกลับมาไม่ทัน ระหว่างทางตอนตีรถกลับไป เจอป้ายก๋วยเตี๋ยวโอ่ง เลยแวะร้านนั้นไปเลย แล้วก็พบว่า เห้ย… เก๋สัส คือมึงเข้าใจป้ะ เอาโอ่งที่ใช้ตกล้างเท้าสมัยโบราณมาใส่ก๋วยเตี๋ยวอ่ะ มีสองไซส์ คือไซส์ 99 บาท กับไซส์ 199 บาท แล้วคือรสชาติดีสัส กูบอกเลยว่าจัดจ้านในยานนี้

มากไปกว่านั้น คือราคาที่ถูกจนอยากจะเรียกแม่ค้ามาด่า มึงบ้าป้ะ น้ำหวานแก้วที่ขายกันแก้วละ 30-40 บาทตามบ้านเราที่นี่ขาย 20 บาทจ้า แล้วคือก๋วยเตี๋ยวให้เยอะมาก เยอะแบบ กินไม่หมด สำหรับสี่คน ราคาคือถูก เหมาะสม รสชาติก็ดูดีไปหมด ความดีมันอยูตรงนี้ คนในร้านที่แดงอยู่เหมือนจะเป็นอิสลามกันหมด จู่ๆ ยิ้มให้กูแล้วยกโอ่งขึ้นมาเหมือนชวนกูไปกินด้วยจร้า คือใจดีอ่ะ ใจดี รักคนแถวนี้มาก

พอกินเสร็จนี่แบบหายโมโหหิวละ โล่งงงง ก็ไปถึงจุดนัดพบ แล้วรีบไปหาพี่อีกคนหนึ่งที่ชื่อเพ้ง นี่ลืมเล่าไปว่า ทริปนี้ลืมเอาที่ชาร์จแบตโดรนมา คือลำบากมาก แล้วแบตก้อนหนึ่งคือบินได้ราวๆ 15 นาที ใช้ไม่กี่ทีก็หมด แต่ตอนชาร์จเข้านี่ราวๆ 1 ชั่วโมงแหนะ ถึงจะเต็ม พี่เพ้งเป็นเพจท่องเที่ยวชื่อ ฅ น ช อ บ เ ที่ ย ว เรานี่แบบขอยืมเลย ยืมที่ชาร์จเถอะ ได้สักก้อนก็ยังดีก่อนขึ้น เพราะรู้ว่า… ข้างบนฆูนุงซีลีปัต สวยมากกกกกกก

CHAPTER 12 ระหว่างทางของความตอแหล

ฆูนุงซีลีปัตคือเขาที่จริงๆ ขึ้นไปง่ายมากนะ มีรถขับขึ้นไปถึงแล้วเดินต่อขึ้นไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึง แต่ขอปิดเส้นทางนั้นไว้ อยากให้คนที่ได้ไปตาม ได้ใช้ชีวิตตามร่องรอยของความไม่เจริญ ตามรอยคนเก่าคนแก่ผู้บุกเบิกเปิดทางให้ได้พบเจอกับเส้นทางของการขึ้นไปบนเขาลูกนี้

ซึ่งการเดินทางไปข้างบนนั้นมันมีสองช่วงคือนั่งรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไปสามกิโลเมตร แล้วค่อยเดินต่อไปอีกสองกิโลเมตรเพื่อจะยังจุดตั้งแรม แล้วคือมึง ถึงแม้ว่าจะมีถนนและนั่งรถยนต์ขึ้นไปก็ไม่ได้ทำให้มึงสบายขึ้นเลย หรือบางทีการเดินขึ้นอาจจะรู้สึกดีกว่าด้วย ช่วงแรกก็เป็นถนนพื้นปูนอย่างดี แต่ไหงไม่กี่ทีก็เป็นถนนดิ้นเปียกซะงั้น ร่องรอยของเรื่องราวหากถามว่าเยอะน้อยเพียงใด ให้มึงดูที่ความขรุขระของถนนเอา

คือตัวกระแทกกันไปกันหมาเหมือนอยู่บนรถขนหมูอย่างไงอย่างงั้น ตลอดสามกิโลเมตรที่ว่าใกล้แบบถ้าเป็นถนนทั่วไปคงใช้สามนาทีก็ถึง แต่กลับกันที่บนเขาลูกนี้สามสิบนาทีก็ยังไม่รู้ว่าจะถึงหรือไม่ มึงเอ้ยยยย บางจุดต้องลงเดิน ก็ต้องเดินตามรถไป เพราะถนนมันแย่มากในระดับหนึ่งเลยล่ะ ระหว่างทางจะเจอกับพรรณไม้นานา ทั้งป่า ทั้งผลไม้ มีสตอ มีทุเรียนที่ผูกมัดล้อมถุงและถูกดึงกิ่งไม่ให้โน้มตัวตามแรงโลก ทุกอย่างเพียงเวลาสั้นๆ ทำให้เห็นวิถีชีวิตแบบง่ายๆ

หยุดสักทีไอ่รถบ้า… แต่ก็นะ สนุกดี คิดว่าเล่นรถบั้มแทนละกัน หลังจากนี้คืองานถนัดของกูเลยกูของบอก เรื่องเดินเนี่ยอย่าท้า ต่อให้ขาจะสั้น แต่สับแหลกเหมือนตอนเย็.. พอเลยสัส!!! อะไรของเมิงงง ก็จะบอกว่า กูเนี่ยจะสับแหลกเหมือนตอนเย็บผ้าแบบเนาเส้นเลย อย่างเซียนขอพูด เกรดสี่วิชา กพอ.

ช่วงแรกจะเป็นป่ารกชัก ถักด้วยป่าเฟิร์น ดงทุเรียน แล้วต่อมาที่สวนยางพารา ระหว่างทางมีอะไรให้ดูเยอะ ทุกคนเดินกันอย่างขมักเขม้น จนถึงช่วงหนึ่งที่ต้องหยุดรอแล้วแบเฮง //คนนำทาง ก็ซาวน์เสียงว่าใครอยากขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ให้รีบเดินตามแบแกไปก่อนช่วงแรก ซึ่งตอนแรกก็งงนะ งงไรวะ? ก็งงตรงคำว่าแบนี่แหละ เชี่ย ครั้งแรกที่ได้ยินคือนึกว่าเฮียแกชื่อหมี อิดอกกกก!!! เป็นไปได้

เดินไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ถึงแคมป์หรอ เปล่า ถึงยอดเลยอิเหี้ย!! กูบอกแล้ว กูสับเร็วมาก ข้างบนสวยมากกกก สวยแบบรอดูหมอกพรุ่งนี้เลย คือบรรยากาศเหมือนมึงอยู่บน Roof Top ของตึกในเมืองที่สูงที่สุดจัดในย่านนั้น ไม่มีสิงไหนมาบดบังวิวที่มึงจะเห็นได้ ทันใดนั้นเองช่วงที่ชักภาพตามประสา เลยสงสัยว่า แบคืออะไร… อ่อ…. แบคือพี่ อารมณณ์เดียวกับ บัง แต่คงมีเส้นบางๆ คั่นอยู่แน่ๆ

ข้างบนสงบ กูชอบบรรยากาศแบบนี้มาก บรรยากาศที่ไม่ช่กูที่เดินขึ้นมาถึงคนแรกคนเดียว บรรยากาศที่ไม่ต้องว้าเหว่ บรรยากาศนี้คือบรรยากาศที่กูกับเพื่อนในแก๊งค์และคนรัก เดินขึ้นมาถึงยอดเขาพร้อมๆ กัน มันมีความหมาย ความหมายมันมากกว่าการเดินขึ้นไปถึงยอดเขาคนเดียว เพราะถ้าเดินขึ้นไปถึงยอดเขาคนเดียว คงไม่มีเสียงโห่ร้องก้องปนดีใจและชักภาพกันยกใหญ่แบบนี้

อาทิตย์ค่อยๆ อัสดงกลางดงไพร แสงจากใต้ภูเขาสะท้อนท้องฟ้าจากมืดกลางเป็นทะเลแดง สวยงามมากๆ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีค่าที่ซ้อนอยู่ยามพระอาทิตย์ตกดิน หรือที่มึงๆ กูๆ เรียกกันว่า “ ฟ้าระเบิด “ นั่นเอง

ขาดกลับขอเตือนว่าต้องเอาไฟฉายไปด้วยนะ คือมึงลงมาทางไหน มึงกลับทางนั้น แล้วคือทางขึ้นกับทางลงถ้ามองเป็นระนางตรงๆ แบบทำมุมกับพื้นคือเอียงราวๆ 30-40 องศา เลย อย่างชันขอบอก ตอนกลับมันมืด ระวังด้วย บางช่วงของการปีนขึ้นมาบนนี้จาก Base Camp แม้จะมีเพียงระยะ 200 เมตร แต่ก็อาจเกิดอันตรายบ้าง มีบางช่วงต้องไต่เชือกเพื่อลดความอันตรายในพื้นที่นี่ลง สนุกมึง ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะเลย ทั้งที่ๆ ไม่เคยรู้จักกัน บางคนเป็นลูกเพจก็มี บางคนไม่รู้จักเรามาก่อนก็มี มีบ้างคือคนที่อยู่ฮาลาบาลามาด้วย และมีบ้าง มีรู้จักกันแบบสนิทมาก่อนหน้า

อาหารมื้อเย็นมื้อนี้แดกกันง่ายมาก พี่เค้าซื้อข้าวกล่างจากด้านล่างแล้วเอามาแจกเลย แต่พิเศษอยู่ตรงที่มีของสดให้มาปิ้งย่างกันเอง ไม่ว่าจะเป็นไก่เอย เห็ดเอน แฮม ลูกชิ้น และอื่นๆ ที่เรียกไม่ถูก Staff จุดไฟให้ อุ่นน้ำร้อนเผื่อใครต้องการ และส่งตัวแทนมาปิ้งย่างให้ได้แบ่งกันกินทั้งวง จากคนไม่รู้จักมักหน้าคร้าตา เราจะได้มารู้จักกันบนเขาก็ครั้งนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนมีความสัมพันธ์กันไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง แต่จุดนี้ ของวันนี้ คือจุดที่เราทุกคนรักในการเดินป่า รักในการเห็นทะเลหมอก และรักในความธรรมดาในวิธีชีวิตอันเรียบง่าย พวกเราจึงได้มาเจอกัน ไม่นานนัก ก็รู้จักสนิทสนมกันไปเอง คืนนี้จะอยู่ยาวนานประมาณไหน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เอามาเล่น คืนนี้เราเล่นแวร์วูฟกัน

ถ้ามึงนึกไม่ออก มึงต้องเคยเล่นเกมส์ตำรวจจับผู้ร้ายเหมือนกูแน่ๆ เป็นเกมส์ที่จะมีคนเล่าเรื่องเพื่อเดินเรื่องอยู่คนหนึ่ง ใช้ไพ่เป็นอุปกรณ์ มีผู้ร้าย มีพยาบาล มีโจร มีประชาชน แม่งก็คล้ายๆ กัน แต่แค่เกมส์นี้ เปลี่ยนจากโจรมาเป็นหมาป่า การที่จะเอาตัวรอดได้นั้น ทุกคนต้องรักษาสถานะของตัวเองที่จับได้จากการเสี่ยงทายในสัมรับ และปฏิบัติให้คนอื่นรู้ หรือไม่รู้ ว่าเราเป็นตัวละครตัวใดในเกมส์นี้

ความจริงใจที่ว่าแน่ ก็แพ้ความตอแหลแบบใสซื่อ ทำไมนะ คนเราไม่รู้จักกันเลยต้องมาตอแหลใส่กันด้วย การจับได้ไพ่ครั้งแรกของกูคือได้เป็นหมาป่า และระหว่างเกมส์ ไม่มีใครรู้เลยว่า… กูนี่แหละ เป็นคนฆ่าคนหลายคนในวงไพ่ มันสอนนะ มันสอน บางเรื่องในสังคมที่เราต้องอยู่ต้องใช้การปั้นหน้าปั้นยิ้มกันเหนื่อยมาก เกมส์นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้ชีวิตในสังคม ขึ้นอยู่กับว่า เราจะประยุกต์ใช้มันไปในทางไหน

เป็นคนดี ไม่หลอก ไม่ตอแหล บางทีก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้ เกมสเกมส์นี้ สอนกูแบบนี้เลย… ไม่ขาวจัด ไม่ดำด้าน ไม่เขียวอี๋ ตั้งแต่ช่วงแรกบอกแล้วไงว่าใช้ชีวิตสายกลาง ถ้าตายก็ตาย ฉะนั้นหากยังไม่ตาย มึงก็ใช้ชิวิตแบบเอาสีขาวมาปนกับสีดำซะ… อาจจะเทาบ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่เด่นชัดจนเกิดปฏิปักต่ออีกฝ่ายไม่ใช่หรอ ฝันดี ผีแอบเข้ามาในเต้นท์

สรุปค่าใช้จ่าย DAY 3 = 1,025 บาท/คน

  • ก๋วยเตี๋ยวโอ่ง 150 บาท //หารสี่
  • ขนม 7 eleven 448 บาท //หารสี่
  • เบียร์ 300 บาท //หารสี่
  • ทริปฆูนุงคีลีปัส คนละ 800 บาท

DAY 4

CHAPTER 13 ซีรีปัต

คืนนั้นสนุกมาก หลับไปเพราะเบียร์หมด ถ้าไม่หมดนี่จะแอบอยู่เล่นต่อ แต่ไม่ล่ะ เหนื่อยโคตร คือพรุ่งนี้เค้านัดกันเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์กันต่อตอนตีห้า แต่ขอบอกว่า เรานี่แบบ ปลุกตื่นตั้งแต่ตีสี่เลย แล้วกะขึ้นไปหลังจากที่เตรียมตัวทุกอย่างเสร็จ เหตุผลที่ขึ้นไปก่อน เพราะอยากจะถ่ายดาว ถึงแม้ว่าคืนนั้นพระจันทร์จะเต็มดวง แต่ก็คงจะมีเสี้ยวหนึ่งแหละ ที่จันทร์มันลับภูเขาไป

ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลาราวๆ 10 นาทีก็เดินขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว อากาศที่นี่ดีนะ ถ้าเป็นที่อื่นคงหนาวหัวหดไปแล้ว ข้างบนบรรยากาศดี แม้จะมืด แต่ก็เห็นหมอกเทาเดาเอาเองแต่ไกล กูหยิบเต้นท์หลังเล็กของแบเฮงขึ้นมาด้วย เมื่อคืนขอยืมแกมา กะว่าจะขึ้นมาถ่ายรูปเก๋ๆ แบบมีเต้นท์บนดอยติดดาว พยายามถ่ายจาก Gopro นะ ก็พอถ่ายได้บ้าง เพราะไม่ได้แบกขาตั้งกล้องตัวใหญ่ขึ้นมา มันหนัก

สวยงาม ตามท้องเรื่อง บนภูเขา สายลม กลิ่นหญ้าฟุ้ง ชะโลมหมอกหน่อย ทำให้เช้าตรู่วันนั้นรู้สึกโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูกว่ะ คนก็เริ่มตามขึ้นมา พร้อมกับดวงจันทร์ที่ลับลาขอบฟ้าไป ตอนนี้รอเพียงอย่างเดียว รอเพียงดวงอาทิตย์ส่องขึ้นไปบนฟ้า เสียดายที่ช่วงตอนไปเมฆเยอะบังดวงอาทิตย์หมด แต่หมอก…. หมอกยังคงเป็นสถานะทะเลหมอกอยู่ไม่เสียชื่อเลย

เอาจริง เที่ยวมาเยอะ เจอทะเลหมอกบ่อยมาก แต่ที่ชอบที่สุด กูว่าคงเป็นที่นี่ เพราะไม่มีอะไรมาบนบังวิวกูเลย ข้างหน้าคือวิว วิว วิว แล้วก็วิว หมุนไปทางไหน ก็เจอแต่วิว เพราะเขายอดนี้ที่เราเหยียบอยู่ คือสูงที่สุดในบริเวณนี้แล้วไง ทะเลหมอก คล่อยๆ เคลื่อนตัวจากฝั่งเหนือโยนไปฝั่งใต้ จะเห็นจุดชมวิวทะเลหมอกของ ต.อัยเยอร์เวงอยู่กลายๆ แต่หาสวยงามกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ อีสัส ภาษาโบราณก็มา

ถ้ามึงเข้าใจคำว่า Stunning View Point นั่นแหละ ที่แห่งนี้ สามารถใช้คำนิยามคำนี้ได้เลย ข้างบนพี่ๆ Staff เค้าก็จะเอาการต้มน้ำร้อนมาต้นกันกินด้านบน มีเตาปิ้งขนมปังไฟฟ้าที่เสียบกับแบตเตอร์รี่ก้อนเล็กๆ มาปิ้งให้เราได้กินกัน มึง มันดี อากาศดีกับของอุ่นๆ มันก็เหมาะสมกับเอ็นเป็นดุ้นอยู่แล้วป้… เดี๋ยววว!!! กูว่าไม่น่าใช่ สรุปสั้นๆ ว่าดีแล้วกัน ไม่สิ โคตรดีถึงจะถูก

ฆูนุงซีลีปัต คือชื่อเต็มของเขาลูกนี้ หลายคนอาจงง และไม่คุ้นชินกับภาษามาลายู แต่ถ้ามึงเคยไปปีนเขาคินาบาลู มึงคงจะรู้ว่าเวลาเรา Search หาใน Google Map มันจะขึ้นคำว่า Gunung Kinabalu เหมือนกัน ซึ่งไอ่คำว่า Gunung หรือที่เราอ่านออกเสียงว่า “ฆูนุง” เนี่ย มันแปลว่าเขาหินปืนในภาษาบ้านเค้า ส่วนคำที่มีความหมายดีๆ แบบมีที่มาและน่าสนใจคือคำนี้ต่างหาก “ ซี ลี ปั ต “

ซีลีปัต คือปรากฏการณ์การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่ปล่อยแสงผ่านฟากฟ้ามากระทบกับยอดเขาจนทำให้เกิดเงาของยอดเขาเป็นฉากหลังพิงไปยังทะเลหมอก มันอาจจะดูธรรมดา แต่เปล่าเลย ช่วงเช้าของทุกวันที่เกิดปรากฏการณ์นี้ ถ้ามึงมองไปที่ยอดเงาของภูเขา มึงจะเจอรุ้ง 7 สี ที่ห้อมล้อมยอดเขาไว้ครึ่งวงกลม และนี่คือที่มาที่ไปของชื่อภูเขาลูกนี้

บางอย่างไม่ไม่ใช่แค่การเดินทางให้จบๆ ไป ไม่ใช่เดินทางเพื่อให้ใช้คำนิยามสวยหรูว่าได้อะไรจากระหว่างทาง ความสุขหรอ ความสวยงาม รอยยิ้มของคนพื้นที่ หรือภาพถ่ายสวยๆ สักใบที่เก็บเอาไปอวดคนที่ไม่เคยไปทั้งๆ ที่ตัวเองหามุมให้มันสวยแทบได้ ปั๊ดโถ่… จริงๆ การเดินทางแก่นของมันคือการที่ได้ไปเรียนอยู่ เป็นอยู่ และเข้าใจ ในสิ่งนั้นๆ ที่เกิดขึ้น เปลี่นยไป และเป็นอยู่ ของสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นต่างหาก มัน Out แล้ว กับการที่ไปเที่ยวเพื่อให้ได้มาแค่รูปสวยๆ แล้วต้องกลับเอามาแต่งก่อนลงแทบตาย บายอ่ะ ไม่ชอบ!!!

CHAPTER 14 มีขึ้นก็ต้องมีลง

รู้สึกว่าเช้าวันนี้เป็นเหมือนเช้าอีกวันที่ปลดแอกความรู้สึกกูมาก ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้ว คือปกติเวลาไปเที่ยวก็คือเวลาทำงานใช่ไหม คนชอบถามและชอบคิดไปว่า เป็น Travel Blogger แม่งดี เอาจริงมันก็ดีอยู่ แต่มึงก็รู้ป้ะ ว่าไม่มีอะไรที่ดีที่สุดหรอก ทุกอย่างบนโลกมักมีเงื่อนไข เอาง่ายๆ มึงคิดว่าคนรวยเค้าไม่ขยันหรอ หรือมึงคิดว่าหมอเป็นแล้วใช้ชีวิตสบายหรอ ทุกอย่าง มันมีการแลกเปลี่ยนของมันด้วยเงื่อนไขที่ใครคนใดคนหนึ่งคนนั้น พร้อมที่จะยอมรับได้ แค่นั้น

คิดเล่นๆ ถ้าชีวิตของพวกมึงต้องทำงานประจำ เอาจริงทุกคนก็ต้องทำงาน แต่ทุกครั้งที่พวกมึงได้วันหยุดมา แล้วมึงอยากพักผ่อน สิ่งที่มึงอยากทำคือไร ไปเที่ยว ไปตากอากาศสบายๆ หากิจกรรมทำเล่น อ่ะในทางกลับกัน ถ้าคำว่า “พักผ่อน” ของพวกมึงบางคนคือ “การท่องเที่ยว” แล้ว “Travel Blogger” ตาดำๆ อย่างกูคนนี้ การพักผ่อนจะต้องเป็นอะไรหรอ มึงลองกลับไปคิดกันดู

เราเก็บของกำลังจะลงจากยอดเขาด้วยความโชคดี แต่ทันไรทันทีฝนก็ท่าดีตกลงมากระหน่ำซ้ำเหมือนจะไม่มีวันหยุดด้วย รอแล้วรอเล่า รอจนเวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ จนคิดว่าถ้าปล่อยไว้ เราอาจไม่ต้องได้ไปไหนกัน เพราะเมื่อวานก่อนเจอกัน พวกกลุ่มเจ็ดคนนั้นเค้าไปล่องแก่ง ซึ่งเอาจริงๆ กูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่นี่สามารถล่องแก่งได้

กูตัดสินใจชวนพักพวกที่นี่กันอยู่แค่สี่หน่อเดินลงไปกันก่อนเลย หวังว่าจะรีบทำเวลาเพื่อให้ได้เก็บกิจกรรมทันเวลาของเข้าเมืองเบตงในวันนี้ อ่าว… เหี้ย!! ลืมไป ถึงไปถึงก่อน ก็ต้องรอรถกระบะเหมือนเดิมนี่หว่า ๕๕๕๕๕๕๕๕ เห็นไหม การตัดสินใจบางอย่างมักเล่นตลกกับเรา ระหว่างทางมันชอบสอนระบบความคิด ย้ำเตือนให้เราหัดรอบคอบให้มากกว่าเดิมสิวะ

ไม่นานนัก แบเฮงเข้ามาถามว่าพร้อมไหม เดี๋ยวลุยตากฝนกันไปเล…พร้อมมม!!! คือกูพร้อมนานมากกกก หลังจากได้สัญญาณผ่านทางของแบเฮง ทุกคนก็เริ่มขยับตัวและเตรียมตัวเดินเท้าออกจากจุดพักแรมบนเขายอดนี้ ฝนยังคงตกอยู่ไม่ขาดสาย แต่เอาจริงๆ กูชอบมากกกกกกกก ไม่ร้อนดี

มีสองสาวเดินนำทางเราไป ไม่นานนักก็หายาไปกับตา กูเดินเร็วไปกว่านี้ไม่ได้แล้วอีเหี้ย เพราะอีน้องพีช มันใส่รองเท้าวิ่งมาเดินเขา คือเข้าใจป้ะ จะมาเดินเขาก็ควรเอารองเท้าเดินป่ามา ไม่ใช่เอารองเท้าวิ่งมา ต่อให้รองเท้าวิ่งจะแพงเป็นหมื่น แต่ถ้าใช้ถูกที่ผิดเวลา ราคาหลักหมื่นก็อาจจะสู้สตัดดอยคู่ละ 60 บาทของชาวบ้านไม่ได้ ชีวิตจริงของเราทุกคนก็เหมือนกัน ถ้าแม่งเจออุปกรณ์หรือตัวช่วยชีวิตที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตนั้นๆ เช่นกองทัน บัตรเครดิต อาชีพ ที่พักอาศัย หรือคนรู้ใจใกล้ตัว ชีวิตแม่งคงง่ายขึ้น และคงไม่ลื่นเหมือนน้องกูที่เอารองเท้าวิ่งมาเดินเขาในครั้งนี้

ไม่นานนัก ก็ตามสองสาวทัน เหตุผลคงไม่ใช่อะไรอื่น ก็เพราะสองสาวคนนั้นไม่ได้ใช้รองเท้าเดินป่าปีนเขา แต่ใส่รองเท้าแฟชั่นขึ้นมา เห็นไหมมึง อะไรๆ แบบนี้มันสำคัญขนาดไหน ถ้าเลือกสิ่งที่ใช้ในชีวิต ความก้าวหน้าของเราอาจแซงคนอื่นได้ในไม่กี่ปีแม้ว่าจะเริ่มเดินตามหลังมาด้วยซ้ำ เห้อ…. กูนี่วิ่งลงเขาโชว์เลยอีเหี้ย!!!! อ่อ… ใส่รองเท้าแบรนด์ Columbia นะ เผื่อใครถาม อิอิ

อีโก้ จู่ๆ ก็วิ่งแซงตามมาจากด้านหลัง เห้ยยย… ทำไมจะขนาดนี้ รองเท้าโก้ไม่ใช่รองเท้าปีนเขาเลย แต่เป็นรองเท้าธรรมดานี่แหละ อันนี้ก็อีกประเด็น มองอีกมุมหนึ่งต่อให้มีอุปกรณ์ดี ตัวช่วยเสริมแน่นเหมาะสมมากเพียงใดก็ตาม หากสิ่งที่ดีมันไปอยู่กับคนที่ไร้ประสบการณ์ มันก็เท่านั้น เคสนี้ชัดเจนมาก อีโก้ มีของไม่ดี แต่มีประสบการณ์ เลยชนะคนที่มีของดี แต่ไม่มีประสบการณ์ ไปโดยปริยา…สัส!!!! หมาเห่า หมาวิ่งมา วิ่งไล่ กำลังจะกัด!!!

เชี่ยแล้ว อีโก้พอมันแซงไป บังเอิญจุดนั้นเป็นสวนยางที่มีกระท่อมของเจ้าของสวนตั้งอยู่ แล้วคือหมาดิ หมาประมาณสี่ห้าตัวกำลังวิ่งไปหามัน แล้วดูแต่ละตัวโมโหมาก เหมือนอีโก้ไปแอบดีดหัวนมหมามัน เชี่ย เอาให้ตายเถอะ อีโก้ไม่วิ่งหนี หันหลังกับมา ไม่หยิบไม้ ไม่หยิบอะไร ไม่ตกใจ และจ้องหน้าหมาทั้งสี่ห้าตัวนั้น

แต่หมามันไม่หยุดเห่านะ มันยังคงเห่าต่อ เห่าจนเจ้าของสวนมาเรียกหมากลับไป นี่คิดไม่ถึงเลย ถ้ากูเป็นอีโก้ กูคง Panic แบบกลัวตายไปบ้างละ เดินไปเรื่อยๆ จนไปใกล้ๆ มัน มันก็บอกว่า จำไว้นะ พวกสัตว์บนโลกใบนี้ ถ้ามันไล่ อย่าไปหันหลังให้มัน ให้ใช้ตาจ้องมัน แล้วมันจะไม่ทำอะไ…อ่ะ!!! ล้มบอกไป อิโก้พ่อมันเป็นพรานล่าสัตว์ แล้วเมื่อคืนมันกับพ่อก็พึ่งออกไปล่าสัตว์ในป่าฮาลาบาลนี่เอง ๕๕๕๕

นี่กูแอบคิดมึนๆ ในใจว่า.. ถ้ากูไปแอฟริกา เจอสิงโตไล่ฆ่า กูก็ห้ามวิ่งหนีใช่ป้ะ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ อ่ะนะ.. ขำๆ แป็บเดียวไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดที่รถจอดให้เราลงแล้ว เราคุยกันว่า ดูแล้ว ถ้าจะรอกลุ่มอื่น คงไม่ได้ไปไหนกันแน่ๆ ในใจคิดว่า ถ้าเดินลงเองต่อไปอีกสามกิโลเมตร น่าจะถึงก่อนที่คนอีกลุ่มจะมาถึงรถพร้อมกันหมดเสียด้วยซ้ำ

กูชวนโก้กับสองสาวที่มาถึงก่อนว่าสนใจจะเดินไปพร้อมกันไหม โก้บอกเดี๋ยวต้องรอ Staff คนอื่นที่นี่ แต่สองสาวมีคนหนึ่งอยากไปกับพวกู แต่อีกคนอยากอยู่ และคิดว่าดูจากทางที่ขึ้นมาแล้ว ถ้าเดินคงแย่แน่ๆ แล้วประเด็นคือ ในกลุ่มกูสี่คน คนที่งอแงคงไม่ต้องทายให้ยากว่าเป็นใคร อีพีชไง เจ้าพ่อรองเท้าวิ่งแห่งป่าใต้ไทยแลนด์ ๕๕๕๕๕๕๕๕

อ่ะ… ไม่รอช้าใครจะมาก็ตามมาใช่ป้ะล่ะ กูยกกระเป๋าขึ้นไปบนโลก ฝากให้รถเอาลงมา แต่ตัวนี่คือเดินสบายตัวเปล่าเลย สุดท้ายก็มาด้วยกันหมดสี่คน สนุกมาก เดินลงเขากับเพื่อนสนิท ร้องเพลงกับแฟน พูดคุยกันกับรุ่นน้อง พร้อมบางช่วงที่กระโดดจะเด็ดสะตอหรือเก็บทุเรียนกัน มันเป็นโมเม้นท์สั้นๆ ที่มีความหมายไม่น้อย ระหว่างการเดินกูได้เห็นร่องรอยของเรื่องราวก่อนขึ้นมาว่าแม่งคงลำบากน่าดู ถนนที่ไม่ได้เอื้อต่อการขึ้นมาบนนี้ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มพยายามจะขึ้นมาให้ได้ คงเหมือนความฝันหรือความสำเร็จที่มันไม่ได้ปูมาให้ใครก็ได้ขึ้นไป ต้องใช้แรงและหัวใจกันหน่อยล่ะ

ทุกการเดินทาง ถ้ามันเร็วไป เราอาจไปถึงก่อน แต่เราจะเห็นเรื่องราวระหว่างทางน้อยลง แต่ถ้ามึงเดินอย่างช้าๆ เหมือนพวกกูตอนนั้น มึงจะได้เห็นระหว่างทางที่ไม่พร่ามัวและชัดเจนขึ้น กูได้เห็นต้นไม้แบบชัดๆ ได้เห็นโคลนที่ติดรองเท้า ได้เห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่มาตอมตัว ได้เห็นท้องฟ้าอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่มองผ่าน ต้นไม้ ใบ หญ้า และรวมถึงชาวบ้านที่ขับรถสวนมาระหว่างทาง เรายิ้ม และทักทายกันราวกับว่าเป็นคนในพื้นที่ บางคนนะ หยุดรถจอดคุยกับพวกกูเลย ชาวบ้านที่นี่น่ารักมึง ทั้งสามจังหวัดเลย เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิด ถ้าการเดินทางของเรามันเดินทางเร็วไป บางอย่างหากช้าบ้างก็ดี…

//อ่านรีวิวตัวเต็มของ ฆูนุงซีรีปัต https://www.palapilii.com/archives/16110

CHAPTER 15 หลุด

อีดอกกกกก ถึงแล้วเว้ยยยยยยย!!! ถึงจุดนัดพบจุดแรกที่เรามาเจอกันแล้ววว ขากลับช่วงหนึ่งจำเป็นต้องวิ่งมึง เพราะทางมันชัน ถ้าเดินจะเมื่อยขา หลักการง่ายๆ ของการปีนเขาที่ไม่ต้องให้ใครมาสอน สรีระของตัวเรามันรู้ดีว่าจุดไหนที่จะต้องทำอะไร แค่อย่าไปฝืนแล้วทำตามที่สรีระของเรามันบอกบ้าง ไม่น่าเชื่อว่ากูมาถึงก่อนรถยนต์จริงๆ

ความเหนื่อยความหิว ทำให้เราสั่งของกินร้านด้านล่างไม่ยั้ง จากชามกลายเป็นสองชาม แล้วตบท้ายด้วยของหวานต่อ คือกินไปสักพักหนึ่ง.. ไม่สิ กินไปสักพักใหญ่ๆ เลยนี่แหละ รถถึงตามมา ซึ่งตอนนั้นก็อิ่มแล้ว ทุกคนขอบคุณซึ่งกันและกันและหวังว่าจะได้เจอกันไม่ทริปใดทริปหนึ่ง แต่เอาจริงๆ ชีวิตคนเรามันไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกมึง ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่เจอกันครั้งใดครั้งหนึ่งแล้ว แม่งคือไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิตเลยก็มี ถ้าไม่ได้ keep contact หรือนัดกันเป็นงานเป็นการ

ช่วงที่เก็บของเตรียมตัวเอาขึ้นรถ ก็ขอบคุณพี่เพ้งที่ให้ยืมชาร์จแบตเตอร์รี่โดรนมากๆ ไม่งั้นคงไม่ได้เก็บโมเม้นท์สวยๆ กลับบ้านแน่ๆ แล้วก็แบเฮง ก็เข้ามาถามว่าจะไปไหนต่อ กูก็บอกว่า เดี๋ยวไปล่องแก่งเหมือนกลุ่มเจ็ดคนนั้น ซึ่งก็โทรนัดก่อนลงเขามแล้วว่าขอนัดเป็นช่วงเที่ยง ดูเวลา… ยังพอมีเหลือ แบเฮงเลยบอกว่า ลองแวะไปที่น้ำตกฯ ดูสิ สวยนะ ได้ขึ้นปก อสท. ด้วย แบว่า มันสวยเลยล่ะ

โหหหห… พูดมาขนาดนี้ ถ้ากูไม่ไปเหมือนกูผิดเลยล่ะ นี่ก็เลยรีบเก็บของเพื่อที่จะแยกย้ายไปนู่นนี่ให้ทันล่องแก่งและกลับเบตงให้ทันแสงเย็น ลากันอย่างเป็นทางการ พร้อมถามแต่ละคนว่าเดี๋ยวไปไหนกันต่อ บางคนก็บอกว่าเดี๋ยวกลับเลย บางคนก็บอกว่าเดี๋ยวไปนั่นนี่ต่อ และก็มีกลุ่มเจ็ดคนบอกว่า เดี๋ยวไปเบตงต่อ เลยถามว่า นอนกันที่ไหน… เอ้าวสัส!!! นอนที่เดียวกันซะงั้น อ่ะงั้นเดี๋ยวไว้เจอกันตอนค่ำๆ แล้วกันนะ ไปน้ำตกก่อน

แพลนที่วางไว้คร่าวๆ เพื่อให้มีช่องว่างให้ได้เสียบนั้นเข้าไป เอานี่ออกหน่อย นี่แหละคือประโยชน์ของแพลนแบบนี้ ไม่ฟิตทุกอย่างไว้จนแน่น หรือปล่อยช่องว่างให้มันหลวมไป ปล่อยบางช่วงให้ได้ไปตายเอาอาบหน้าบ้าง นี่คือแพลนประจำการเดินทางของกูเลย นี่ Chapter หลังๆ กูเริ่มเหมือนคนแก่ที่เอาปรัชญาชีวิตมาสอนคนรุ่นหลังไปแล้ว มึงว่ามั้ย ๕๕๕๕๕๕๕

CHAPTER 16 น้ำตกเฉลิมพระเกียรต์ ร.๙

มึง.. น้ำตกไม่ได้อยู่ในแพลนอะไรของกูเลย แต่ก็นะ อยากรู้ว่ามันจะขนาดไหน ดูเวลาแล้วก็เสี่ยววที่จะไปไม่ทันนัดล่องแก่ง แต่คิดว่าไปให้เห็นหน่อยแล้วกัน ขับไปไม่ไกลเลย แป๊บเดียวก็เจอทางเลี้ยวขวาเข้าน้ำตก แต่ขับเลยไปไง ไม่คิดว่าจะใกล้ขนาดนี้ นี่ก็ต้องวนรถรีเทิร์นกลับแล้วแล้วเข้าซอง เข้าไปได้สักพัก ไม่มั่นใจอีก เลยถอยรถกลับมาถามชาวบ้านที่อยู่ต้นทางว่าใช่ทางไปน้ำตกไหม

พอบอกว่าใช่ กูไปอย่างเร็ว ขับรถทำเวลาหน่อย ทางไปเล็กมาก เหมือนไม่ใช่ทางไปสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งแบเฮง แกก็เตือนมาแล้วว่า มันเหมือนทางเข้าหมู่บ้านแล้วก็เล็กหน่อย แต่ก็ขับไปเรื่อยๆ จนไม่มีถนนนะ ก็นั่นแหละ ขับมาเรื่อยๆ แล้วเนี่ย ระหว่างทางจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ข้ามสะพานไปไม่นานก็เจอป้ายน้ำตก เสี่ยบิ้กดูท่าจะเหนื่อยเลยหลับอยู่หลังรถ แต่ก็นะ มาถังแล้ว ก็อยากให้ไปดูให้เห็นกับตากันให้ครบทุกคน

ดับรถ ปิดประตู เดินเข้าไปน้ำตกอีกราวๆ 500 เมตร เดินได้ 20 เมตรแรก ฝนตก อีเหี้ย!!! ตลกป้ะ นี่คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย อ่า ก็เดินตากฝนกันไป ทางก็จะเป็นทางเดินริมน้ำตกน้อยๆ ให้ได้ยินเสียงน้ำตกไหลผ่านจางๆ เพราะตอนนี้ฝนตกหนักและเสียงดังมาก ไม่ไกลมึง ก็จะมีศาลาตั้งอยู่สวยๆ เลย เป็นศาลาที่ทำไว้แบบไม่คิดว่าจะดีและสวยขนาดนนี้ เป็นสะพานไม้ที่สร้างเป็นสะพานข้ามน้ำตกเพื่อเดินไปอีกฝั่งได้

โห…. น้ำตกสูง ใหญ่ และอลังกาลมาก กูมองน้ำตกหลังจากหลบอยู่ในศาลาแล้วนะ หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายๆๆๆๆ แล้วเดี๋ยวไม่นานก็คิดว่าจะไปแล้ว แต่บังเอิญ เห็นหินอยู่โขดใหญ่ๆ จินตนาการเลยพรุ่งพลาดมาว่า ถ้ากูเอาตัวกูขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วถ่ายรูปออกมาสวยๆ นะ คงงามน่าดู แต่อีกใจก็อยากจะไปสัมผัสน้ำตกใกล้ๆ ด้วยแหละ โดยส่วนตัวแล้วชอบปะทะอยู่แล้ว

เหลือบไปมอง เอ้า.. มีคนนอนอยู่ในศาลาด้วยประมาณหกคน นอนหลับปุ๋ยเลยมึง ว่าไปแล้วก็อิจฉา นอนในศาลาที่ด้านหน้ามีน้ำตก ข้างใต้เป็นแม่น้ำไหลเลี้ยงเพื่อชุบชีวิตชาวบ้าน รอบข้างฝนตกหนักสร้างบรรยากาศแล้วข้างบนก็เป็นร่มไม้ที่บังแดดลมให้ความเย็นสบายแก่การพักผ่อนของพวกมึงจริงๆ แต่เดี๋ยว!!! พวกมึง มีใครจะเดินไปน้ำตกกับกูบ้าง… เงียบ!!

เงียบกันหมด แต่มีอีพีชนี่แหละ ที่ดูดีมีแววจะเอากับกูด้วย ก็เดินกันไปสองคน หินลื่นมาก ฝนก็ตกหนักมาก แต่ก็สนุกมาก พอเข้าไปใกล้ๆ แม่งน้ำตกใหญ่จริง อันตรายนะ ถ้าเป็นไปได้อย่าเดินเข้าไปเหมือนพวกกูเลย เดี๋ยวล้มหัวฟาดเปล่าๆ พอไปอยู่จุดหนั้น ก็อยากได้ภาพ เลยเดินวนลงมา แล้วหยิบโทรศัพท์กับกล้องแล้วเดินขึ้นไปอีกรอบ เพื่อไปหาจุดถ่ายภาพ อื้อหืมมมม มันช่างงดงามเช่นนี้วะเนี่ยยยย โอ้ยยยยยยยยย สวยยยยยยยยยยย สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่ะ คิดว่าเลยเวลาแล้ว เดินกลับมาที่รถจับมือถือเช็คเวลายังไม่มีคนโทรมาตามเล… อ่อ!!! ไม่มีสัญญาณ ก็แหงแหละ ป่ารกทึบขนาดนี้ มีสัญญาณก็เก่งแล้ว ก็ค่อยๆ ขับออกไปเรื่อยๆ สัญญาณก็โผล่มาทีละนิด จนกระทั่งติดต่อกับคนล่องแก่งได้ ก็บอกว่ากำลังจะอกกไปเดี๋ยวไม่นานก็ถึงแล้ว…

สำหรับชื่อน้ำตก ร.9 ชื่อเดิม คือ น้ำตก “วังเวง” หรือ “อัยเยอร์เค็ม” เพราะเรียกถามชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคมลายูเป็นอานานิคมอังกฤษ ชื่อ เข่ง ชาวบ้านเรียก “ไอเข่ง” “ไอเกง” เพี๊ยนเป็น “อัยเยอร์เค็ม” ต่อมาในปีมหามงคลครบรอบ 72 พรรษาในปี 2542 อบต.อัยเยอร์เวง จึงได้เข้ามาพัฒนาบุกเบิกเส้นทาง พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และได้เปลี่ยนชื่อเป็นน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

CHAPTER 17 ขวาพาย ซ้ายทวน

ถ้ามีใครถามว่าเคยล่องแก่งไหม นี่มักจะเชิดนิดหน่อยว่าเคยแล้ว และเคยล่องแก่งที่มันส์ที่สุดในประเทศไทยในแม่น้ำว้าด้วย ซึ่งครั้งนี้เลยไม่อยากมาล่องเท่าไหร่ เพราะเป็นการพายคายัค พอรถมาจอดถึงหน้าบ้านของคนที่จะพาเราไปพายคายัค เค้าก็ถามเราว่าพร้อมไหม มากี่คน เดี๋ยวเค้าจะไปเตรียมของให้ คือระหว่างการเตรียมตัวเตรียมของเค้าก็บอกให้เราข้ามถนนไปอีกฝั่ง มีสะพานแขวนข้ามแม่น้ำอยู่ตรงนั้น นักท่องเที่ยวมักมาจอดถ่ายรูปกัน

สวยดีนะ เป็นสะพานเล็กๆ สำหรับให้คนและมอเตอร์ไซต์ข้าม ซึ่งก็ข้ามแม่น้ำที่เราจะใช้ลองแก่งในครั้งนี้ด้วย แม่น้ำชื่อแม่น้ำปัตตานี้นะ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับตัวจังหวัดเค้าเหรือเปล่า แต่ตอนนี้เราอยู่ยะลาแล้ว ก็เมื่อทุกอย่างพร้อม เค้าก็เอาอุปกรณ์ให้เราอย่างเดียวคือหมวดกันน็อค

นั่ง 4×4 ออกไปหน่อย ก็เลี้ยวซ้ายเข้างข้างทาง ขับริมน้ำ แล้วก็เห็นเรือคายัคเป็นสิบลำเลย ในใจคิดว่าต้องเริ่มตรงนี้แน่ๆ แต่ไม่ใช่ ตรงนี้เป็นจุดิ้นสุด ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเอาขาแช่น้ำตั้งอยู่ ถอย 4×4 เข้ามาแล้วก็ยกเรือขึ้นไปราวๆ 4 ลำ พร้อมกับไม้พายแล้วไปต่อ ระหว่างทางก็จะเจอกับจุดปล่อยเรือจุดแรกซึ่งเป็นแบบ Standard แต่ครั้งนี้เราไม่เอาอะไรธรรมดาๆ แน่นอน เราขอแบบ Extreme ซึ่งจะต้องนั่งขึ้นไปอีกนิดหน่อย

พอไปถึง ก็จะเป็นบ้านสองชั้น สร้างด้วยไม้มีชายสองคนกำลังนั่งคุยกัน เหมือนเค้าถามคนพาเรามาว่าเรามาจากไหน เป็นนักท่องเที่ยวหรอ อะไรประมาณนั้น สักพักทีมงานก็พาเราเดินเข้าบ้าน แล้วบอกว่าเคยกินทุเรียนบ้านไหม อยากลองไห… อยาก!!!! คือกูตะโกนไปก่อนพูดเสร็จ

มึง คือกูจะบอกว่าที่นี่ทุเรียนราคาถูกมาก กิโลละ 20 บาท หากต้นมะม่วงแถวบ้านมึงปลูกง่ายฉันใด ต้นทุเรียนก็ปลูกได้ง่ายฉันนั้นในภาคใต้ แต่ทุเรียนบ้านเค้ามันจะไม่ใช่อารมณ์แบบหมอนทองนะ มันจะแบบประมาณชะนีหน่อยๆ แต่ก็ไม่เชิง ส่วนรสชาติอร่อยเลยแหละ กินเพลิน นี่นั่งแทะกันไปกันมา หมดสองลูกเฉย

ตึ้ม ตุ้ม พรึ้งงงง!!! เสียงพี่ Staff ไถลเรือลงแม่น้ำ เอาล่ะ พร้อมแล้ว เราก็เดินลงไป แล้วก็เลือกเรือกัน เค้าบอกว่า เอาไม้พายไปคนละอัน แต่พายแค่คนหลังคนเดียวนะ เพราะเดี๋ยวมันจะไม่ไปไหน แล้วก็เดี๋ยวนั่งกันสองคน ก่อนปล่อยเรือ Staff จะสอนวิธีการพา… พอ!!! พอเลย เผอิญว่าผ่านมาหลายน้ำแล้ว ๕๕๕๕๕๕๕๕๕ แต่เอาจริงป้ะ ล่องแก่งอ่ะ ก็เคย คายัคอ่ะ ก็เคย แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก พี่คายัคในแก่งน้ำไหลเชี่ยว

มึงงง สนุกมากกก กรี๊ดกันตั้งแต่เรือออกเลย คือน้ำมันไกลเร็วมากนะเวลาอยู่บริเวณแก่งอ่ะ แล้วคือน้ำก็ใสในที่ตื้น ขุ่นในที่ลึก เราจะสังเกตุได้อย่างง่ายๆ จะเห็นโขดหินเรียงรายและถูกบังอยู่ใต้น้ำ ต้องใช้การสังเกตุตลอดเวลา ควบคุมทิศทาง และพายให้ถูกทางน้ำ ช่วงที่ไปฝนตกตลอดตั้ดแต่อยู่บ้าน Staff และ แล้วพอมาอยู่ในแม่น้ำ กลายเป็นเพิ่มความเย็นช่ำสุดๆ

ผ่านไปแก่งใหญ่แก่งแรก คือมันมากกกกก มันแบบ เห้ย สนุกกว่าไปล่องแก่งน้ำว้าอีกมึง เพราะตอนไปแก่งน้ำว้า เราแม่ง เป็นคนนั่งอย่างเดียวแล้วปล่อยให้พวกพี่ Staff เค้าพายกัน แต่ที่นี่นะ เรือจะคว่ำไม่คว่ำ ก็อยู่ที่ตัวเราเองล้วนๆ ด้วยความที่นี่พอมีประสบการณ์มาบ้าง การควบคุมทิศทางของเรือเลยไม่ใช่อะไร แต่ๆๆๆๆๆ

อีสองคนนั้น อีดอกกกกก ขวาพาย ซ้ายทวน ขวาพาย ซ้ายทวน เท่ากับที่เดิม อย่าเริ่มดีกว่า เหมือนยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เหมือนยังไม่ใช่ทีมเดียวกัน บ้างพายเข้าป่า บ้างชนหิน บ้างพายหมุนเรือไม่ไปไหน นี่คือกูตลกมากมึง แล้วคือแม่งก็ทะเลาะกัน จนมาถึงจุดจอดเรือให้พัก เค้าก็มี น้ำกับขนมให้กิน แล้วก็เก็บกระท้อนจากริมแม่น้ำมาให้เรากินกันสดๆ อร่อยมาก อร่อยจริงๆ บรรยากาศก็ดี แล้วคืจุดพัก มันมีเรือสำรองไว้อยู่ เพราะจุดนี้ เป็นจุดปล่อยตัวของพวก Standard นี่เลยบอกว่า พี่ ไอ่สองตัวนี้อยากพายกันคนละลำ ขอเรือให้พวกมันหน่อยได้ไหม

และการแข่งขันทางสนามอารมณ์ปนความท้าทางทางสกิลก็เกิดขึ้น จะได้รู้กันไปเลยว่า ที่แม่งพายวนกันอยู่กลางแม่น้ำนี่เป็นเพราะใคร ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

พอปล่อยไปเท่านั้นแหละ ด้วยความที่น้ำหนักมันเบาเพราะเรือบรรทุกคนแค่คนเดียว เลยทำให้เรือแล่นไปเร็วมาก คือไม่ได้ดูเลยว่าพวกมันเป็นยังไง แต่ระหว่างนั้นปากก็คาบกระท้อนอยู่ ยังกินไม่เสร็จดี แล้วก็กรี๊ดๆๆๆๆๆ กรี๊ดๆๆ ไปตามทางน้ำและแก่งลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนเจอหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่สูงท่วมหัวบวกกับน้ำที่ไหลแรงๆ นี่คิดไม่ออกว่าต้องไปทางไหน เลยถามแฟนว่า ไปทางไหนดี…ปุ้ง!!! คือยังถามไม่จบดีเรือพุ่งชนหินแล้วคว่ำแบบทันทีทันใด นี่ก็เป็นห่วงแฟนว่าแฟนจะจมน้ำ ส่วนสีข้างตัวเองก็ถูกระทบหินใต้น้ำ มือก็ขูดหินอีกก้อน มองกลับหลังไปไม่เห็นแฟน หันหน้ามาเจอหมวกกันน็อคอยู่หลังเรือ เลยตะโกนหาว่าโอเคไหม เริ่มจับจังหวะได้สักพัก ไม่มีหินใต้น้ำ ก็รีบเอาขาลอยไปทิศทางน้ำ เพื่อกันหินไม่ให้ชนตัวเราเข้าอย่างจัง อ่า… แฟนเราโอเค แต่เรือยังคว่ำอยู่ ไม่นานนัก Staff ก็จอดเรือไว้ริมฝั่งแล้วเข้ามาช่วย มึง คือไม่ได้ตกใจนะ แต่เจ็บตัว เรือคว่ำครั้งนี้สอนให้รู้ว่า อย่ามัวแต่กรี๊ดจนลืมคิดว่าไปทางไหนดี ๕๕๕๕๕

สนุกมากกก สนุกมากจริงๆ คืออี Extreme Kayak เนี่ย ต้องใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง แต่พวกกูใช้ไปแค่ 2 ชั่วโมงเอง อาจเป็นเพราะตอนช่วงน้ำนิ่งพายกันไม่หยุด ความห่างของแก่งต่อแก่งไม่ไกลกันมากเลยนะ คือกำลังพอดี มีแก่งเรื่อยๆ ไม่รู้สึกเบื่อเลย

ที่บ้านของ Staff เค้าก็มีที่อาบน้ำให้ครับ คือดีมาก ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินมาเหนื่อยๆ เหงื่อท่วมๆ คือไม่ได้อาบน้ำนะ เพราะข้างบนไม่มีน้ำอาบ เมื่อคืนใช้ทิชชู่เปียกเช็ดตัวเอา แล้วคือกว่าจะหลับได้ คันตัวมาก ได้ล่องแก่งก็สบายตัว แล้วก่อนเข้าเบตงก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน Staff กันเลย เก็บของนิด เก็บของหน่อย  Staff บอกว่าถ่ายรูปไว้ด้วย เดี๋ยวจะเอาลงเพจให้ เราลาจากกันพร้อมรอยยิ้มที่ขอบคุณซึ่งกันและกัน Staff บางคนอาจพูดไม่เก่ง แต่เราก็รู้ว่าพวกเขาสนุกที่มีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดไกลๆ ไปเยี่ยมบ้านเขา คือรอยยิ้มเป็นกริยาท่าทางที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาได้จริงๆ กิจกรรมวันน้ ไม่มีกิจกรรมไหนที่ทำให้พวกเราเบื่อ รำคาญ แล้วอยากรีบกลับบ้านเลย ไม่มี….

CHAPTER 18 เบตง

จากจุดล่องแก่งเข้าไปเบตงก็ราวๆ 30 นาทีแค่นั้นมึง แต่คือพอมาแถวนี้ มึงจะเห็นป้ายทะเบียนรถแต่ละคันเป็นบ้ายเบตงนะ ซึ่งเบตงอ่ะ เป็นชื่ออำเภอ ไม่ใช่ชื่อจังหวัด นี่กูสงสัยมาก แต่บังเอิญไปเจอข้อมูลพวกนี้ปิดไว้ที่บันได Hostel ที่จะไปพักในเบตง ข้อความมีประมาณว่า สมัยก่อน จากเบตง เข้าไปตัวเมืองยะลาเนี่ย เดินทางใช้เวลานานมาก แล้วคือสภาพถนนไม่ได้ดี บวกกับโค้งที่เยอะมาก เค้าก็เลยอะลุ่มอะล่วยให้เบตงเนี่ย สามารถทำเรื่องเกี่ยวกับทะเบียนรถยนต์ และใบขับขี่ได้ที่อำเภอโดยไม่ต้องขึ้นตรงกับทางยะลา เนื้อหาก็ประมาณนี้…

จริงๆ กูจองที่พัก่อนเข้ามาถึงเบตงก่อนหน้าวันเดียว น้องปั้นเพจ The Walking Backpacker จริงๆ แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้มาเที่ยวสามจังหวัดนี้เลยนะ ส่วนพี่แบ็งค์เพจ ค น ห ล ง ทาง ก็เป็นอีกคนที่ทำให้รู้จักกับ ฮาลา-บาลา ยังไงขอบคุณทั้งสองเพจนี้ไว้ตรงนี้เลย คือก่อนมาก็โทรคุยกับไอ่ปั้นมัน ก็ได้ข้อมูลมาบ้าง แล้วมันก็ปิดท้ายด้วยว่า อย่าลืมไปพักที่ FOTO Hostel ในเบตง นี่ไม่รู้นะว่าทำไม แต่ก็จองมาแล้ว ๕๕๕๕

ที่พักโอเคดีครับ อยู่ใน Location ที่ดีมากๆ ใจกลางเมือง แต่ติดสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทุกจุดของเบตงเลย ช่วงที่เราไปคือช่วงอาสาฬหบูชา นี่กะหาไรกินแล้วก็เที่ยวหน่อยๆ ก่อนไปเวียนเทียนตามประสาคนนับถือศาสนาพุทธ

เบตงเป็นอำเภอที่น่ารัก ถ้าคิดภาพไม่ออกคือเหมือนเมืองต่างอำเภอในต่างจังหวัดใหญ่ๆ บ้านเราครับ มีศิลปะฝาผนังเหมือนปีนังมาเลเซีย ย่านดังๆ จะเหมือนเยาวราช เพราะมีร้านคนจีนเต็มไปหมด มีตึกหลากสีบางช่วง มีหลากศาสนาให้ได้ค้นหาพบปะและทักทายกัน จุดเด่นสำคัญของเมืองคือรอยยิ้มที่น่ารัก และของกินที่เยอะมากๆ

คือกูก็ไปกินรานที่คนพื้นที่แนะนำมานั่นแหละ เป็นร้านอาหารจีนแบบโต๊ะหมุนได้ ชื่อร้านร้าเหยิน มึง คือหน้าตาอาหารดี และก็จานที่เสิร์ฟใหญ่มาก ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เค้าบอกว่ามาเบตง ห้ามลืมสั่ง จะมี ผักน้ำ เคราหยก ไก่เบตง และน้ำหู้ย่าง คือกูสั่งมาทุกอย่างเลย และพบว่า อร่อยมาก อร่อยแบบ อร่อย แต่คือด้วยความที่จานใหญ่ สั่งมาเยอะ สี่คนแดกไม่หมดจร้า!!!

พอกินอิ่มก็ทำหน้าที่ดูเมือง แวะไปนั่น แวะไปนี้ ถ่ายรูปเล่นไปทั่ว หลักๆ ก็จะไปอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ หอนาฬิกา และก็ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถ่ายโคม ดูวิถีชีวิต คือเพลินมาก แต่ด้วยความที่วันนี้อัดกิจกรรมมาเต็ม แต่ละคนก็หมดแรงกันไง ง่วงง ความง่วงเริ่มมา แต่ไม่ได้นะ ห้ามนอน ไปไปเวียนเทียนกันก่อน

พากันหอบร่างกันไปทั้งสี่คน เพื่อจะไปทำนุบำรุงศาสนาให้คงอยู่ คนไทยศาสนาพุทธที่นี่ก็เยอะเหมือนกันนะ มาเวียนเทียนกันเต็มลานวัดเลย วัดน่าจะเป็นวัดประจำอำเภอ เพราะเป็นวัดใหญ่ ที่สำคัญคืออยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก เราเวียนเทียนกันสามรอบ ขอพร แล้วกลับเลยเพราะง่วงมาก จริงๆ อยากจะหาไรดื่มต่อ แต่เสี่ยงอแงไม่ไหว นี่เลยไปนวดดดดด

มึง หมอนวดดีมาก ร้านตรงหอนาฬิกา คือจับเส้นดีสุดๆ กูแบบหลังตึงๆ นวดแล้วคลึ่งไปสองชั่วโมงอาการดีขึ้นมาเลย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อร้าน Pink นะ จำไม่ค่อยได้อ่ะ แต่คือราคาแอบแรงเด้อ นวดเสร็จก็กลับที่พักขึ้นไปชวนเสี่ยอีก แต่เสี่ยบอกไม่ไหว นี่เลยลงไปหาไรดื่มกับน้องๆ ใช่ แก็งค์เจ็ดคนกำลังลั๊ลลากันอยู่ที่โซนนั่งเล่นของ Hostel ใน Hostel มีกีต้า เราดีด เราร้องเพลงจนเมื่อย ดื่มจนเริ่มมึน จนถึงจุดที่นั่งคุยกันดีกว่า

ทุกบทสนทนานหลังอาการกลึ่มนี่มันดีนะ มันจะกล้าพูดในบางเรื่อง กล้าคุยกับบางคนที่ไม่รู้จัก กล้ายิ้ม กล้าหัวเราะมากกว่าปกติ คืนนั้นนอนดึกเพราะมัวแต่นั่งเม้ามอยกัน เหมือนจะเป็นการปิดลาคืนสุดท้ายในทริปภาคใต้ แต่ก็ยังไม่เสียทีเดียว พรุ่งนี้ไม่รู้จะได้เจอกันไหม กูบอกฝันดีน้องๆ ทุกคน ถ้าตื่นมาเจอกัน ก็แสดงว่าพี่ตื่นสายนะ คือจริงๆ จะออกจากที่พักตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเลยไง

สัส… ตื่นมา เจอน้องมันจนได้

สรุปค่าใช้จ่าย DAY 4 = 1,020 บาท/คน

  • ก๋วยเตี๋ยวกะลา 325 //หารสี่
  • มังคุด 85 //หารสี่
  • ล่องแก่ง คนละ 350 บาท
  • Foto hostel 1,200 //หารสี่
  • อาหารจีนต้าเหยิน 1,000  //หารสี่
  • น้ำเต้าหู้ 67 //หารสี่

CHAPTER 19 โอเค เบตง

กูตื่นมาดันมาเจอน้องมันอีก จริงๆ กูไม่ได้ตื่นช้านะ แต่น้องแม่งตื่นเร็ว เพราะมีเจ็ดคนไง ต้องรีบตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันกัน แต่บอกเลยว่า กิจกรรมแบบนี้ ไม่เกิดกับกลุ่มพวกกูแน่นอน ๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ก็ตื่นมา เก็บของ แล้วขึ้นรถเลย ก้ได้ร่ำลากันจริงๆ ก็คราวนี้ ช่วงเช้าของเบตง สำหรับกูกูว่าดีมากกก เพราะเหมือนเป็นเมืองที่กำลังมีชีวิต

จริงๆ เบตงมีจุดเที่ยวหลายจุดนะ แต่ครั้งนี้ขอเดินอยู่ในเมืองแบบเป็นคนที่นี่ได้ไหม แวะร้านนั้น ชิมร้านนี้ ขอถ่ายกับพี่ๆ หรือภาพวาดตามฝาผนัง สนุกมาก สนุกสุดๆ แล้วคนที่นี่ก็ชอบคุยกับเราจริงๆ ตั้งแต่ปัตตานีจนถึงเบตง ไม่เคยเหงาเรื่องคนคุยเลย ป้าคนขายน้ำที่พวกกูแวะไปซื้อบอกว่า เดี๋ยวสนามบินเบตงเสร็จ คงดีกว่านี้ กูนี่แบบ จริงๆ ไม่อยากให้มีสนามบินเลย กลัวเป็นเหมือนปาย เพราะพอคนเริ่มรู้จัก แล้วมาง่ายขึ้น สิ่งปลูกสร้างแบบเก่ามันจะหายไป แต่ก็นะ คนที่นี่ก็คงจะอยากออกไปข้างนอกกแบบง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าให้มัวแต่นั่งรถ คงอ้วกแตกตายแน่ๆ เพราะโค้งเยอะเหลือเกิน

ตอนเช้า ถ้าใครมาเบตง จะมีติ่มซำร้านหนึ่งที่คนเข้าแบบล้นนนนนน ออกมาหน้าร้าน อยู่ตรงสี่แยกไฟแดงสุดท้ายก่อนเข้าอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ คือถ้าเดินไปยังไงก็เห็น ลูกสาวน่ารักนะ แล้วพ่อก็น่ารักด้วย คือกูไม่รู้หรอกว่ามาร้านนี้ต้องสั่งอะไร แต่กูสั่งทุกอย่างที่กูอยากกิน ร้านคนแน่นมากจริงๆ ร้านชื่อไทซีอี้

พอได้กินแล้วเข้าใจเลย อารมณ์เหมือนร้านเมื่อเย็น รสชาติมันอร่อย แต่มันไม่ใช่รสชาติของคนไทยแท้ๆ มันเป็นกลิ่นอายของคนจีนอ่ะ ทุกอย่างที่กลืนลงไปมันจะไม่ลืมกลิ่นสมุนไพรบางอย่างทีตีกลับขึ้นมาทีคอ คือทุกเมนูจริงๆ แต่คือถ้าคนชอบก็จะชอบเลย ถ้าคนไม่ชอบ ก็จะไม่อร่อย แต่สำหรับกู กูว่าดีนะ จะได้กินติ่มซำที่ไม่ต้องจิ้มอะไรหวานๆ กินแบบคนจีนจริงๆ สักที ถือเป็นอีกร้านที่ไม่ควรพลาดนะ

 

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนเค้าถึงพูดกันว่า “โอเค.. เบตง” ไม่ว่าจะหนัง หรือผู้คน และแม้แต่ป้าย Welcome ก่อนเข้าเมืองก็ตาม นี่ไปสืบมาให้ละ ก็เป็นเพราะว่า ในช่วงที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงอ่ะ เกี่ยวกับการขอแบ่งแยกดินแดนกัน บางเมืองบางบ้านเค้าก็มีอารมณ์อยากเอาด้วย แต่เมืองเบตง เป็นเมืองที่ชุมชนเห็นตรงกันว่าบ้านเมืองเราโอเคแล้ว ไม่ขอฝักใฝ่ฝ่ายใด บ้านเมืองเราโอเค… และนั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “โอเค… เบตง” ที่คนแม่งใช้กันล้นหลานจนถึงทุกวันนี้

เห้อ…. ทริปห้าวันนี่มันแป็บเดียวจริงๆ นะ ก็ในเมื่อเราอยู่ดินแดนใต้สุดแดนสยาม หากไม่ไปเขตแดนใต้สุด เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง ซึ่งเขตแดนก็ไม่ได้ไกลอะไรมาก ขับไปแป็บเดียวก็ถึง

ก่อนกลับกูอยากรู้ว่าจุดชมวิวอัยเยอร์เวงมันเป็นประมาณไหน เลยขับรถไปกัน ก็ได้เห็นแล้ว่ามันไปง่ายนะ ขับรถขึ้นไปได้ก็ถึงเลย ซึ่งจุดนี้เอง ที่เป็นอีกจุดที่สามารถดูทะเลหมอกได้เหมือนกัน แต่ก็คงจะสู้ฆูนุงซีรีปัตที่พวกกูไปไม่ได้หรอกนะ อิอิ

มากไปกว่านั้นก็รีบขับรถเร่งไปซื้อวุ้นคุณเชียร์ ที่เพื่อนแนะนำในตัวยะลาก่อนกลับ เพราะขาไป เวลาไม่ทันจริงๆ วุ้นคุณเชียร์เค้าเปิดสิบโมงเช้า เรากลับไปส่งรถทันครับ และก็ขึ้นเครื่องบินกลับบ้านกันทัน นี่ลืมพูดไปเลยว่า จริงๆ แล้วเสี่ยบิ้ก จะกลับก่อนเราหลังจากที่ลงจากฆูนุงซีลีปัตนะ แต่ด้วยความที่บ้านเมืองแถบนี้หารถไปยากมาก แล้วระยะทางไกลสุดๆ บวกกับกูคิดเองว่าเสี่ยอยากเที่ยวกับเราต่อ เสี่ยก็เลยโทรเลื่อน Flight บิน แล้วกลับวันเดียวกันกับเรา แต่ได้เวลาที่ช้ากว่าเราไปสองชั่วโมง

ทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยจริงๆ ถ้าขาดรีวิวใครคนใดคนหนึ่งที่เอ่ยไว้ข้างต้นไป จะเกิดไม่ได้จริงๆ ถ้าหากขาดแฟนที่เชื่อใจ และมั่นใจไปพร้อมเราตั้งแต่แรกที่หากไม่มีใครไปด้วยก็ยังจะไปกันสองคน จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามีมีเสี่ยบิ้กและน้องพีชมาเป็นกำลังเสร็จ จะเกิดขึ้นไม่ได้ที่ได้คำแนะนำจากน้องซอร์ฟ จะเกิดขึ้นไม่ได้ที่ได้รับการต้อนรับที่นี่จากน้องหลินปิน อาฉี โก้ แล้วก็ทุกคนที่เกี่ยวข้องในหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๙ ขอบคุณพี่เพ้งที่ให้ยืมสายชาร์จแบตเตอร์โดรน ขอบคุณแบเฮงที่นำทางและให้ความรู้เกี่ยวกับฆูนุงซีลีปัต ของคุณแก็งค์เด็กเจ็ดคนที่ร่วมสร้างสีสัน ขอบคุณลูกเพจที่เข้ามาทักทายระหว่างทาง ขอบคุณรอยยิ้ม ขอบคุณ Staff ล่องคายัคที่อัยเยอร์เวง ขอบคุรจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่ได้สบตากัน ผมรู้ว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก แต่อย่างน้อยก็ยังหว่าว่าเราจะได้เจอกันระหว่างทางในสักวัน

หากสนามบินเบตงสร้างเสร็จเมื่อไหร่ คงมีเรื่องเล่าในพาร์ทต่อไปให้ได้ฟังกันอีก แล้วเจอกันระหว่างทางครับ

สรุปค่าใช้จ่าย DAY 5 = 321 บาท/คน

  • ติ่มซำ 290 บาท //หารสี่
  • กาแฟโบราณ 45 บาท //หารสี่
  • ข้าวเที่ยง ยะลา 150 บาท //หารสี่
  • เติมน้ำมัน 800 บาท //หารสี่

สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป [DAY 1 – DAY 5] = 8,445 บาท/คน

Leave a Reply

*