รีวิว บ้านป้อมเพชร (Baan Pomphet) – ที่พัก ที่เที่ยว ที่กิน อยุธยา

ต้องบอกเลยว่าบ้านป้อมเพชรนี่ผมได้ยินและเห็นหลายคนรีวิวมา 3-4 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้แวะเวียนเยี่ยมสักที ที่นี่ห่างจาก กทม. เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นครับ อยู่ติดกับแม่น้ำสองสายหลักที่มาบรรจบกัน คือเจ้าพระยาและป่าสัก บอกเลยว่า โลเคชันและทำเลเหมาะแก่การมาพักผ่อนมาก ๆ

ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดรถเลย ที่นี่ เค้ามีที่จอดเพียงให้กับทุกคนแน่นอน เพราะนอกจากจะมีร้านอาหาร คาเฟ่แล้ว ยังมีที่พักอีกด้วย นี่ก็พึ่งรู้ว่าเค้ามีที่พัก เพื่อน ๆ สามารถจองห้องอาหารหรือที่พักผ่านทาง: https://www.facebook.com/baanpomphet หรือโทรสอบถามโดยตรงได้ที่เบอร์: 081 341 4595

ซึ่งบ้านป้อมเพชรเป็นโรงแรมและร้านอาหาร ที่เป็นความตั้งใจอยากให้คนที่เดินเข้ามาก้าวแรกแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ได้กลิ่นหอมของกุ้งที่ย่างจากเตาถ่าน อาหารรสชาติดั้งเดิม สถานที่ผสมผสานออกแบบจากสถาปนิกบริษัทออนเนี่ยนและรองศษสตราจารย์ ดร.ม.ล.จิตตวดี จิตรพงศ์

เรียกได้ว่า เมนูไหนที่เป็นการย่างนะ จะผ่านจากเตาถ่านด้านหน้าร้านอาหารทั้งหมด ซึ่งก็จะเป็นซุ้มอิฐสีแดงอยู่ด้านหน้าเลย การันตีว่าเพียงแค่ก้าวเท้าลงมาจากรถ ก็จะถูกกลิ่นกุ้งเผาเตะเข้าเต็มหน้าเลยล่ะ

สถานที่นี่เอง คือจุดที่บรรจบกันของแม่น้ำสองสาย คือเจ้าพระยาและป่าสัก ก่อนหน้าเป็นจุดค้าขายของเรือสำเภาในช่วงกรุงศรีฯ หนาแน่นมาก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำตรงข้ามที่พัก เลยจะเห็นบ้านเรือน และอาราม รวมไปถึงวิถีชีวิตของคนที่นี่ในบางส่วนด้วย มีเสน่ห์มาก ๆ

อย่างที่บอกว่าที่นี่ มีห้องพัก แต่ห้องพักมีแค่ 8 ห้อง บรรยกาศเงียบสงบ ฟังเสียงสายลม ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง แต่ละชั้นมีสีที่ต่างกันชั้นหนึ่งสีเขยว ใบชะพลู ชั้นบนสีเหลืองขนุน ซึ่งครั้งนี้เอง เราได้พักห้องหมายเลข 4 ครับ ติดริมสุดเลย ไม่ได้รับการรบกวนจากเพื่อนร่วมห้องแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครเดินผ่าน

จะบอกว่าห้องพักเต็มเกือบทุกช่วงเลย กว่าเราจะหาวันได้ เรียกได้ว่า 2-3 เดือน วันนี้มาดูห้องเบอร์ 4 ของเราคร่าว ๆ กัน เริ่มจากทางเข้า ก็จะเป็นบรรยากาศร่มรื่นที่โอบล้อมด้วยใบโพธิ์ มีสระน้ำอยู่บริเวณทางเข้าโซนที่พัก (เป็นเขตส่วนตัว คนนอกห้ามเข้า) ทุกห้องจะมีโซฟาให้นั่งชิลบริเวณด้านหน้า

พอก้าวเท้าเข้าไป ห้องเราจะตกแต่งโทนใบชะพลู ซึ่งเข้ากับสีขาว และสีทองมาก ๆ มีการจัดสันปันส่วนพื้นที่ได้อย่างลงตัวกับเนื้อที่ที่มี ข้าวของอุปกรณ์เครื่องใช้ ต้องบอกว่ามีคุณภาพสุด ๆ รวมไปถึง Facilities ต่าง ๆ ไม่กิ้งก๊องเลยนะ ของดีทั้งหมด

เตียงดูดวิญญาณ โซนทำงานจัดสรรได้อย่างดีเลิศ ร่วมไปถึง Amenities ก็คือดีลกับ Thann Wellness มาด้วย ได้กลิ่นหอมและรู้สึกถึงความดีงามทุกครั้งที่อาบน้ำเลย ในส่วนนี้เราเอากลับได้นะครับ ถือเป็นของฝาก

ในส่วนของราคาห้องพักที่นี่ ฟังแล้วจะตกใจ ไม่แพงอย่างที่คิดครับ อยู่ใน Range 3,500 – 5,000 บาท แล้วแต่วัน แต่ช่วงเวลาครับ ซึ่งหากจะเข้าพักต้องจองล่วงหน้านะ แนะนำ เพราะไม่งั้น Walk in จะเสียเที่ยวเอา ด้วยความที่ห้องมีจำกัดแค่ 8 ห้องนี่แหละ และถ้ามากับเด็กน้อย แนะนำห้องหมายเลข 1-2 ถ้ามากับคู่รัก แนะนำให้เลข 4 ถ้าอยากได้วิวด้านลน แนะนำโซน 5-8 เลย ห้องจะเป็นสีเหลือง

โซนด้านหลังสามารถอาบน้ำแบบคนโบราณได้ ก็คือจะมีโอ่งเก็บน้ำให้เรา ทำให้เรารู้สึกว่าย้อนไปยังสมัยกระศรีฯ อย่างไรอย่างนั้น บวกกับเจ้าอิฐก้อนส้มที่ประสมปนเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นจริง ๆ เอาล่ะ มาดูร้านอาหารกันบ้าง

ร้านอาหารถ่ายทอดจากเชฟฝีมือเยี่ยม เช่นปลาทูผัดสายบัว แกงคั่วเนื้อปู (ส่งตรงจากภาคใต้) ปลาเนื้ออ่อนย่างคุณยาย (สูตรตกทอดสู่รุ่นหลาน) หมูส้มซ่า ปลาเนื้ออ่อนราดพริกสด พล่ากุ้งดอกโสน และอื่น ๆ อีกเพียบ

ซึ่งห้องอาหารช่วงที่เราไปฝนตก เสียดายมาก ๆ ที่ไม่ได้นั่งระเบียงด้านบน เพราะพี่ ๆ เค้าแจ้งว่าบรรยากาศจะดีกว่าโซนด้านล่างมาก ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อน ๆ คงจะจินตนาการออกว่า ถ้าเกิดว่าด้านบนมีโต๊ะ และมีโซฟารองกับเก้าอี้ มีผ้ากันเปื้อน ที่แห่งนี้คืออีกที่ที่เหมาะแก่การมาดินเนอร์กับคนรักและครอบครัวมาก ๆ

อาหารที่นี่ ได้รับรางวัลแนะนำจาก Michelin ด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าวันนั้นผมทานข้าวและกับข้าวที่อยู่ในภาพหมดเลยนะ มันอร่อยจริง ๆ คุณ ทั้ง ๆ ที่กำลังลดน้ำหนัก แต่อดใจไม่ไหวจริง ๆ บวกกับบรรยากาศที่มันดีงาม แสงเอยสีเอย เรียกได้ว่าสมบูรณ์บรรยากาศสุด ๆ

มาพูดถึงการออกแบบกันบ้าง เพราะหากเพื่อน ๆ ดูจากภายนอกคร่าว ๆ  นี่นี่จะใช้อิฐเป็นองค์ประกอบหลักเลย ซึ่งออกแบบโดยอิงบริบทรอบ้าง “ป้อมเพชร” อิฐ 6 ขนาดที่ถูกจัดเรียงหลายรูปแบบ จะถูกจัดให้มีมิติแตกต่างกันไป โดยใช้อิฐจากอ่างทอง ทำด้วยมือทั้งหมด เผาจากฟืน จึงมีสีส้มพิเศษ แถมยังคล้ายสีกุ้งเผาที่เราพึ่งทานกันไปอีกด้วย

พอตื่นเช้ามา ที่นี่ก็จะรับรองอาหารให้คุณสองแบบ คือเสิร์ฟบริเวณหน้าห้อง และเข้ามาทานในห้องอาหาร สำหรับเรา เราไปห้องอาหารแน่นอน เพราะชอบดีไซน์เค้ามาก อยากกินไป ดูไป อะไรแบบนั้น ซึ่งพอเข้าไปในห้องอาหาร ต้องบอกเลยว่า ออกแบบได้อย่างลงตัวสุด ๆ

โคมไฟที่เพื่อน ๆ เห็นนั้น คือ “ชนาง” อุปกรณ์จับกุ้งของคนสมัยก่อน ดัดแปลงให้สอดคล้องกับร้านกุ้งเผา จะถูกร้อยเรียงอย่างดูไม่เป็นธรรมชาติบนเพดานห้องอาหาร เพิ่มความหลบแสงและเงา ทำให้ตัวห้องอาหารดูมีมิติเข้าไปอีก ห้องอาหารสะอาดครับ กลิ่นดีมาก ๆ และในส่วนของโคมไฟไม้สักนั้น ผ่านการแกะสลักจากจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการแกะที่ทำให้ผิวขรุขระ แต่เติมเสน่ห์ให้บ้านอย่างน่าดึงดูดไม่น้อย

หากสังเกตุมือจับประตูที่นี่ละก็ จะไม่เหมือนกับที่อื่นเลย โดยมือจับประตูที่นี่ คือ “หนุมานเป่าลม” จะสื่อถึงว่าเป็นบ้านที่มีลมพัดเย็นตลอดทั้งวัน ออกแบบโดยนิสิตสาขาวิชาสถาปัตฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชุณห์ศิริ ไชยเอีย ซึ่งได้รับรางวัล “นริศ” และแกะสลักโดยช่างฝีมือ เรียกได้ว่าพิถีพิถันสุด ๆ

เอาจริง ๆ นะ พื้นที่เค้าไม่ได้เยอะ แต่เค้าทำให้มันดูใช้ประโยชนได้เยอะจริง ๆ และต้นโพธิ์ที่ให้ร่มเงาอายุกว่าหลายสิบปี อยู่ตรงตำแหน่งสำคัญของตัวบ้าน ถูกตัดแต่งโดย “รุกขกรฐ จากทีม รัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม กิ่งโอบล้อมจตัวบ้านได้อย่างอบอุ่น ถือเป็นอีกสถานที่ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนมาก ๆ

ทุกอย่างเพอร์เฟ็คแบบไร้ที่ติ แถมยังอยู่ในเกาะกลางเมือง ใกล้กับของกิน ที่เที่ยว และสถานที่สำคัญของอยุธยาทั้งหมด แบบไม่ต้องขับรถออกไปไหนเลย ปั่นจักรยานเที่ยวเล่น ให้ได้ถึงรสสัมผัสของการมาเที่ยวอยุธยาจริง ๆ มาอยุธยาครั้งหน้า ห้ามพลาดที่นี่นะครับ แล้วเจอกันระหว่างทาง

Leave a Reply

*