รีวิว “ดอยโจ๊ะโค๊ะ” 2 วัน 1 คืน [ฉบับเดินทางสะดวก]

ต้องบอกว่าช่วงนี้ สถานที่เที่ยวในไทยที่เคยมีอยู่ตามอุทยาน เราก็ไปกันมาเกือบหมดแล้ว จึงไม่แปลกที่ชื่อใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ จะเป็นที่ต้องตาของเหล่านักเดินทงอย่างเรา ซึ่งในทริปนี้ เราจะพาเพื่อน ๆ ทุกคน ไป “ดอยโจ๊ะโค๊ะ” กันครับ

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนเลยว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านบุญเลอ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ครับ ถ้าจะเอาให้ฟังดูพอรู้จักเข้าไปอีก เห็นจะเป็น “กลอเซโล” นั่นแหละ ที่เค้าว่า มายังไงก็เห็นทะเลหมอก จริง ๆ แล้ว ขับเลยไปอีกนิดเดียว เราก็จะถึง “ดอยโจ๊ะโค๊ะ” ซึ่งส่วนตัวจากประสบการณ์ของผมแล้ว ดอยโจ๊ะโค๊ะ มีโอกาสเห็นทะเลหมอกมากกว่ากลอเซโลเสียอีก ถึงจะเป็นทะเลหมอกผืนแผ่นเดียวกันก็เถอะ

การเดินทาง

ขอขมวดให้เข้าใจง่าย ๆ เลยคือ เราต้องมาที่ อ.สบเมย แล้วขับมาโซนสี่แยกทางขึ้นดอยพุยโค กับทางขึ้นไปทางหมู่บ้าน จุดนัดพบคือร้าน 24/7 กาแฟ : Twenty-Four Seven Coffee จริง ๆ มันมีทางขึ้นสองทาง จะขึ้นทางแม่ตะควนก็ได้ จะขึ้นทางสามแลบก็ได้ จากจุดนี้ ระยะทางราว ๆ 18-22 กิโลเมตร ต้องใช้รถ 4×4 ขึ้นไป แต่ถามเรา เราว่าไม่จำเป็นนะ ถ้าถนนวันนั้นฝนไม่ตก เพราะเราเอารถเก๋งขึ้น สรุปก็คือ

  1. เดินทางไปยังจุดนัดพบ ที่นัดรถ 4×4 ส่วนเบอร์คนขับ แนะนำให้หาหน้างาน จะได้ราคาถูกกว่า เพราะถ้าจองกับคนที่ผมมีเบอร์ เค้าคิด 5,000 บาท ซึ่งผมมองว่าแพงไป หน้างานมีรับแค่ 3,500-4,000 บาท
  2. กรณีขับรถมาเอง ก็ให้ตั้งหมุดว่าบ้านบุญเลอได้เลย
  3. รถเก๋งขับขึ้นไปได้ แต่เสี่ยงรถพัง แต่ผมก็ยังมองว่าขับไปได้อยู่ ว่าสนิทกับรถ
  4. ไม่จำเป็นต้องเป็น 4×4 แค่รถกระบะก็ขึ้นไปได้

ว่าแต่ เข้าใจแล้วล่ะ ว่าจะต้องไปเจอกันที่จุดนัดพบอย่างที่ว่า แต่ว่าการจะไปที่นั่นได้ เราจะขับจาก กทม.ไป หรือนั่งเครื่องไปลงเชียงใหม่ แล้วค่อยเหมารถ หรือเช่ารถขับมาที่จุดนัดพบ อันนี้คำถามดีเลย ส่วนตัวผม ถ้าคุณมีเวลา ก็ขับรถมาเรื่อย ๆ แวะเที่ยวเรื่อย ๆ จาก กทม. นั่นแหละ เพราะที่เที่ยวเยอะ แล้วค่อยมายังจุดนัดพบ

กรณีที่เวลาน้อย แนะนำให้บินมาลงเชียงใหม่ แล้วเช่ารถขับมา หรือมากันเยอะ ก็เหมารถตู้มา ระยะทางจะใกล้กว่า เพราะขับแค่ 3-4 ชั่วโมงก็ถึง ที่สำคัญ ประหยัดเวลาและดูปลอดภัยกว่าด้วย อีกอย่าง ตอนนี้ รูทเชียงใหม่ VietJet เค้าก็มีตั๋วราคาถูกตลอด และมีเที่ยวบินเยอะที่สุดในขณะนี้แล้วมั้ง

พนักงานดูแลดี ที่นั่งสบายเข่าไม่ชน แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ดีเลย์เยอะเหมือนแต่ก่อนแล้วด้วยนะ ส่วนตัวผม ยังไงก็แนะนำรูทนี้ครับ สำหรับคนทำงานประจำอย่างเรา ๆ สุดท้าย จาก กทม. บินไป เชียงใหม่ ใช้เวลาชั่วโมงแป๊บ ๆ ก็ถึงแล้ว และยังมีเวลาเที่ยวในตัวเมือง เก็บที่ชิค ๆ สวย ๆ เพิ่มในเมืองอีกด้วย ยังไงลองหาตั๋วบินผ่านทาง Traveloka ได้เลยนะ เว็บนี้ เรียกได้ว่าเป็นเว็บโปรดสำหรับภูมิภาคบ้านเราเลยล่ะ

ต้องบอกว่าทาง Traveloka เค้าออกเว็บมาสะอาดหูสะอาดตามาก ใช้งานง่าย แล้วก็มี Support หลังบ้านดี ที่ชอบคือมีตัว Filter กรองสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการเรียงตาม Piority ได้ ยังไงลองเช็กตั๋วก่อนบินผ่านเว็บไซต์นี้เลย!!!

ข้อควรรู้ก่อนไป

  1. สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีนะครับ
  2. แต่มี wifi ภูธรขาย ให้ User ละ 20 บาท นาน 24 ชั่วโมง
  3. มีร้านอาหารตามสั่ง 1 ร้าน
  4. มีร้านก๋วยเตี๋ยว 1 ร้าน
  5. ร้านขายของชำ 2 ร้าน
  6. ถนนไม่มีลาดยาง มีแต่ดินกับฝุ่น
  7. เตรียมแมสและแว่นกันฝุ่นไปด้วยก็ดี เผื่อ ๆ ไว้
  8. อากาศไม่หนาว เย็น ๆ
  9. จุดกางเต็นท์ เก็บแค่คนละ. 100 บาท
  10. เอาชุดไปเล่นน้ำด้วย ด้านล่างมีสาละวิน

สุดท้ายก็คือ ที่เค้าบอกว่าเห็นทะเลหมอกตลอดปีคือไม่จริงนะครับ ตั้งแต่ปลาย ม.ค จนถึง ปลายเมษา อย่าหามา ไม่เจอหมอกเด้อ ส่วนหน้าฝนคือทางเหี้ยสุด ๆ อยากลำบากมาได้เลย ไม่ห้าม แนะนำหน้าหนาว ดีที่สุดสำหรับสถานที่แห่งนี้

ข้อมูลประมาณนี้ น่าจะพอเห็นภาพแล้วนะครับ เอาเป็นว่า ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป จะเป็นภาพบรรยากาศ พร้อมอธิบายเหตุการณ์ระหว่างทางให้ได้เห็นภาพกันนะ ไปกันเลย!!

ช่วงเริ่มเดินทางจากเชียงใหม่มาสบเมย เราจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก แต่มีอยู่ 2 ที่ที่อยากให้แวะ เพราะไม่ได้ใช้เวลาในการแวะนานเท่าไหร่ เนื่องจากติดกับถนนเลย และลงเดินไม่เยอะ นั่นก็คือ ออบหลวง และสวนสนบ่อแก้ว

สอนสนบ่อแก้ว ถือเป็นอีกหนึ่งที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมจัดพร๊อพเต็มที่มาถ่ายรูปมาก ๆ เพราเป็นป่าสนที่มีเป็นร้อยเป็นพันต้นประกอบวิวฉากหลังในภาพของเรา ยังไงเตรียมพร๊อพไปให้ดี ๆ

ขับไม่นานเราจะถึงสบเมย หลัก ๆ คือปักหมุดไปที่ ร้าน 24/7 กาแฟ : Twenty-Four Seven Coffee จากนั้นให้นั่งทำใจและหาข้อมูลประกอบการเดินทางของวันนั้น ๆ ก่อน เช่น เมื่อวานมีอุบัติเหตุไหม มีรถติดไหม ด้านบนตอนนี้มีปัญหาอะไรไหม หากทางสะดวกค่อยโดนทางต่อครับ เพราะถ้าขึ้นไปแบบ No info เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้น และก่อนเดินทาง ผมได้ถ่ายรถของตัวเองไว้ก่อนด้วย ว่ากันว่า ทางฝุ่นเยอะมาก ๆ

รอบนี้ผมขึ้นทาง 22 กิโลเมตร ครับ เป็นอีกทางที่ไม่ใช่ขึ้นจากสามแลบ เหตุผลเพราะเอารถเก๋วขึ้นเลย และเค้าว่ากันว่า ทางเส้นนี้ดีกว่าเส้น 18 กิโลเมตร ถ้าดูจากทางเริ่มต้น ก็พอไปได้นะครับ

แต่เอาจริง ๆ แล้ว ทางโหดพอตัว ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาคือ จะเป็นดินหลวม ๆ ครับ คือฝุ่นมันเยอะมาก แล้วมันเป็นฝุ่นละเอียดดูดล้อรถเรา พอมันเป็นแบบนั้นบวกกับทางชัน ทำให้ขับลำบากมาก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าฝนตก ขาลับจะกลับยังไง แต่เอาขาขึ้นให้รอดก่อนตอนนี้

ระหว่างทางเราจะเจอกับน้อง ๆ ชุมชนมายืนรออยู่หน้าบ้านตัวเองครับ น้องเค้ามาขอของฝาก หรือขนม ที่พี่ ๆ ชุมชนในเมืองอย่างเราเตรียมไปให้ ฝากไว้ตรงนี้เลย ใครไป รบกวนเตรียมเครื่องใช้ อาหาร หรือสิ่งของจำเป็นที่ตัวเองสามารถ Support ได้ ขึ้นไปฝากน้อง ๆ ด้วย คิดว่า น้อง ๆ ต้องการมาก ๆ ดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว ลำบากกว่าเรา แต่อากาศดีกว่าเราแน่นอน ๕๕๕๕

ขับรถไปก็จะเจอชุมชนริมทางแบบนี้ครับ ประมาณ 30 นาทีเจอครั้งหนึ่ง ซึ่งจากต้นทางที่ขึ้นจากสบเมย มาถึงด้านบน ก็ใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง แล้วแต่จำนวนรถ แล้วแต่สถานการณ์ตอนนั้น และ Skill การขับของแต่ละคนเลย จัดนี้เองเป็นจุดที่คิดในใจว่า ขากลับ ตอนขึ้นจะขับขึันได้ไหม ดูจากภาพเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าดูดี ๆ คือดินหร่อยมากแม่ และชันด้วย!!!

และแล้วก็มาถึงอย่างปลอดภัยครับ นี่คือร้านก๋วยเตี๋ยวน้องนัด ที่ถือเป็นจุดพักรถได้อย่างดี ว่ากันว่า ตอนเช้า วิวดีมาก และแน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะพักตัวเอง โดยการสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชิมสักชาม อื้อ!! อร่อยเลย

ต้องบอกว่า ระหว่างการเดินทาง เราไม่มั่นใจเรื่องรถเลยครับ โชคดีที่ได้กัลยามิตรที่ดี พามอเตอร์ไซต์คันเก่งนำทางเราขึ้นมา และไม่แปลกที่ตกเย็น เราจะแคมปื้งนั่งชิล หารือคุยกันตามประสาคนแรกพบที่เคยเห็นหน้ากันครั้งแรก

บรรยากาศดีมาก และน้องเตรียมของมาเยอะมาก สำคัญไปกว่านั้นคือ เราเอง ที่ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ทั้งอาหาร (แจกน้อง ๆ ริมทางไปหมด) รวมถึงเต้น บริเวณแถวนี้คิดค่ากางเต้นท์และค่าดูแลสถานที่ ค่าเข้าต่าง ๆ ตกคนละ 100 บาทครับ แต่เราแบบ ไม่มีอะไรเลย จึงตัดสินใจจอดข้างทาง แล้วนอนในรถเอา

เป็นการนอนที่หลับ ๆ ตื่น ๆ แต่บอกกับตัวเองว่า เอาน่า… เดี๋ยวตื่นเช้ามาก็ได้เห็นอะไรดี ๆ แล้ว ช่วงตี 3 ผมตื่นมาทำธุระส่วนตัว ผมดีใจมากที่เห็นหมอก เพราะว่ากันว่า ที่นี่ไม่ได้มีหมอกทุกวัน การที่เราขึ้นมาครั้งนี้ ก็คือ 50/50 เลย

นี่คือสภาพเต้นท์ของน้อง ๆ ที่กางริมทางเป็นเพื่อนเรา

และนี่คือรถเรา ที่จอดนอนหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวไปเลย แย่มาก แต่ทำอะไรไม่ได้ ลืมทุกสิ่ง ใจมันอยากมา แต่ไม่ได้วางแผนไว้ เอาล่ะ… หลังจากตื่นล้างหน้า เก็บภาพบริเวณนี้เป็นที่ระลึกว่าตอนนั้นนอนยังไง ก็ขับรถมุ่งหน้าไปก่อน้อง ๆ เพราะน้อง ๆ เคยมากันแล้ว ดูไม่ตื่นเต้นอะไรกันเลย

ขับห่างออกมาจากบริเวณจุดพักของเราไม่นาน ก็เจอป้าย “ทะเลหมอกสองแผ่นดิน” ซึ่งมีระเบียงยื่นออกไปริมผาด้วย ไม่แปลกที่เราจะจอดรูปและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ช่วงที่ขับรถไป ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดี แสงมันสะท้อน บวกกระทบกับสิ่งต่าง ๆ ทำให้เกิดท้องฟ้าสีวนิลาสวย ๆ เราขับรถช้าลงเพื่อใช้ตามองอย่างอิ่มเอมใจ

มันสวยงาจริง ๆ ครับ ช่วงนี้ แนะนำให้มาจริง ๆ ผมถึงกับอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่ได้ ต้องบันทึกไว้สักหน่อย เพราะสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ามันสวยมาก และเชื่อว่า ถึงผมจะถ่ายภาพเก็บไว้ ก็ไม่สวยเท่ากับตาตัวเองที่เห็นอยู่ตอนนั้น

โหหหหหหหหหหหหหหหหหหห……. นี่คือดอยโจ๊ะโค๊ะครับ มีคนมาก่อนเราแล้ว บอกเลยว่าอลังการธรรมชาติมาก ๆ ใครมากางเต้นท์นอนตรงนี้คืออิจฉาไปเลย 100 กระโหลก สวยมาก ๆ

ที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมาก ๆ เค้าทำเพิงไม้ยื่นออกไปเป็นเรือโจรสลัดให้นักท่องเที่ยวได้ไปยืนปลายหัวเรือแล้วถ่ายรูปคู่กับหมอกด้วย รวมไปถึงมีระเบียงให้นั่งชิล ๆ เพลิน ๆ สัมผัสบรรยากาศไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ดื่มด่ำกับสถานที่ให้สุดก่อนกลับบ้าน

และนี่คือภาพวิวบางส่วนที่ผมเก็บมาฝากทุกคนครับ ซึ่งใช้เวลาอยู่ที่นี่ราว ๆ 1 ชั่วโมงเลย ผมชอบมาก ๆ ไม่ใช่แค่เก็บภาพอย่างเดียว แต่เรานั่งคุยกันเพลิน ๆ ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ ทุกอย่างมันก็ดูจะเร็วกว่าปกติไปเลย เอาล่ะ ก่อนกลับ ไปกินเตี๋ยวน้องนัดกันอีกรอบ

ต้องบอกว่าก๋วยเตี๋ยวของน้องนัดนี่ก็ทำเป็น Highlight ได้เลยเหมือนกันนะ เพราะบรรยากาศดีมาก แล้วคือเป็นร้านที่ทำอร่อยแบบบ้าน ๆ นั่งคุยกัน คือพ่อน้องต้องตื่นมาตีสามเพื่อต้มซุปรอนักท่องเที่ยว กะเอาให้เคี้ยว ให้หวาน ให้หอมติดใจก่อนลงกันไปเลย

ก๋วยเตี๋ยวกับวิวแบบนี้อดใจไหวหรอ

ดูวิวเสียก่อน

และนี่คือน้องนัด น่ารักใช่ไหม น้องยังเรียนไม่จบเลย แต่ช่วยที่บ้านทำงานหาเงินเตรียมส่งน้องตัวเล็กเรียน

และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ท่องเที่ยวจุดหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้มาสัมผัสหากมีโอกาส ทริปนี้เป็นทริปบังเอิญ แต่ตั้งใจ ทริปที่อยากมา แต่ไม่มีความพร้อม เออ… มันก็ดีแฮะ เอาเป็นว่า ไว้เจอกันระหว่างทางครับ

Leave a Reply

*