กินเที่ยว Kolkata ประเทศอินเดีย กับเมืองที่มีนิยามว่า ” The City Of Joy “

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ทริปนี้ เป็นทริปของ Thai Smile ครับ ซึ่ง Thai Smile เค้าถือโอกาสนี้ จัดทริปของคุณลูกค้าของเค้า ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรหรอก แต่บังเอิญว่า Traveloka พาร์ทเนอชิพของเราเนี่ย ในทีมเค้าไม่มีใครว่าง ก็เลยเสนอเพจเราเข้าไปเป็นตัวตายตัวแทนในการสัมผัสประสบการณ์ในครั้งนี้ คนที่นี่อาบน้ำกันข้างทาง เป็นน้ำฟรี ที่มาจากแม่น้ำ ร้านค้าต่างๆ ก็ใช้น้ำนี้กันหมดในการล้างนู่นนี่นั่น แล้วเค้าโอเคกับการที่เราถ่ายรูปเค้านะ เค้าชอบ แบบขอเค้าได้ เค้าจะยิ้มใส่กล้องให้เลย เลยได้ชื่อว่า “The city of joy” ยังไงลองตามไปดูกันครับ

แน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้เราบินไปกลับกับสายการบิน Thai smile ครับ ซึ่งทางสายการบินฯ เค้ามีบินตรงเลยนะ ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงก็ถึงเลย ซึ่งหนึ่งวันจะมีเที่ยวเดียว งดบินวันจันทร์และพุธ เพื่อนๆ สามารถจองผ่าน Thai smile โดยตรง หรือจองผ่าน Traveloka ก็ย่อมได้ ทริปนี้บิน Flight WE347 เวลา 13.55 น. ไปถึง Kolkata ก็ 15.05 พอดีเป๊ะ

ที่นี่ช้ากว่าที่ไทยชั่วโมงครึ่งครับ ค่าเงินก็ใช้สกุลรูปี มีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของเงินบาท คือถ้าเค้าบอกว่าสินค้าราคา 2 รูปี นั่นคือราคา 1 บาท บ้านเรา อากาศช่วงที่เราไปค่อนข้างร้อนครับ แต่ไม่มาก ส่วนรูปลั๊กเป็นตาหลมสามรู และใช้ไฟ 220 โวลต์ครับผม แต่สิ่งที่จะต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดีเลยคือ… เสียงแตรครับ

จากสนามบินไปที่พักของเรา จะได้ยินเสียงแตรตลอดทาง ซึ่งเรื่องนี้ต้องเตรียมใจไว้เลยนะ เพราะที่นี่นิยมบีบแตรมาก จะสังเกตเห็นตามท้ายรถบรรทุกทุกคันว่า ” HORN PLEASE ” คือจะได้ยินจนหูอื้อเลยล่ะ

คืนนี้เราพักกันที่ Hindusthan International ครับ เป็นโรงแรมระดับสี่ดาว ที่ถือว่าอยู่กลางเมือง Kolkata เลย เรียกได้ว่าทริปนี้ทั้งทริป เราจะเอาจุดนี้ เป็น Base Camp ครับผม ตัวโรงแรมก็ดูสะอาดสะอ้าน แต่งโทนไฟสบายตา ทริปนี้เราจะทานอาหารเช้า และมื้อดึกกันที่นี่ทุกวันครับ ซึ่งพอไปถึง ก็ต้อนรับด้วยการเจิมหน้าผาก เป็นศิริมงคลครับ

เอาล่ะ… อ่านมาถึงตรงนี้ เราไปดูเมือง Kolkata กันดีกว่า ว่าทาง Thai smile เค้าจะพาพวกเราไปเห็น Kolkata ในแบบไหนกันบ้าง ซึ่งหลักๆ ก็จะเป็น Landmark ที่ผมไม่อยากให้พลาด แต่ก็จะแทรกวิถีชีวิตเข้าไปด้วย และเนื่องจากทริปนี้ ไม่ได้ใช้เงินตัวเองไป ข้อมูลในเรื่องราคา จึงไม่มีมาเป็นไกด์ ต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี่ด้วย

INDIAN STREET FOOD

คือต้องบอกว่ามาอินเดียแล้วถ้าไม่ลอง Street Food ถือว่ามาไม่ถึงเลยนะ ซึ่ง Street Food ที่นี่ หากใครเห็นตามคลิปต่างๆ ก็จะรู้ถึงความสัมผัสของมืออันเหนียวเหนอะเอย ไม่สะอาดบ้างเอย น้องแป้ง น้องน้ำมัน น้องอะไรสาระพัดสมุนไพร จะถูกบรรเลงปรุงแต่งไปเป็นส่วนผสมที่สุดท้ายจะอยู่ที่ปากเรา ซึ่งมีหลายแบบให้ได้เลือกศึกษา และลองชิมกันเยอะมาก

แต่จากประสบการณ์แล้ว ที่นี่ส่วนประกอบของทุกอย่างจะต้องมีแป้งโรตีประมาณ 80% เลย ผงกระหรี่ ก็ต้องมา พืชสมุนไพรแปลกๆ ก็เยอะ ซึ่งหากจะเข้าถึงอาหารของอินเดียจริงๆ แล้ว ก็คงจะต้องเปิดอีกทริปหนึ่งเลยล่ะ นี่แค่ลองชิมลาง ถ้ามีโอกาสก็อยากให้แวะทานกันสักร้านสองร้าน แล้วกลับมาบอกด้วยนะ ว่าเจอเมนูไหน แล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง

บ้านแม่ชีเทเรซา

ใช่ครับ ที่นี่คือบ้าน และก็ไม่ใช่บ้านที่สวยงามอะไร เป็นทาวน์โฮมหลายชั้น ที่ดูภายนอกค่อนข้างเก่าแก่หน่อย แต่บ้านที่ดูเรียบๆ หลังนี้นี่แหละครับ ที่เป็นที่อยู่ของแม่ชีเทเรซา หลายคนคงงงว่าเมชีเทเรซา มีประวัติความเป็นมาและมีความสำคัญอย่างไร มาครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

แม่ชีเทเรซา หรือ คุณแม่เทเรซา เป็นนักพรตหญิงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ช่วยเหลือและผู้ต่อสู้เพื่อคนยากไร้ทั้งในประเทศที่ยากจนและร่ำรวย จนเมื่อปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ท่านจึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และหลังจากมรณกรรมก็ได้รับการประกาศเป็นบุญราศีโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 มีนามว่า “บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตา” ต่อมาในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ประกาศให้ท่านเป็น “นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา”

ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณนั้น ก็มีถนนคอลเลจที่เป็นถนนสายหนังสือและร้านกาแฟชื่อดังห้ามพลาดครับ เป็นถนนที่หากใครมา Kolkata คือเรียกว่าพลาดถนนเส้นนี้ไม่ได้ เพราะมีหนังสือวางขายเรียงรายริมทางแทบจะทุกบ้าน

ระหว่างที่เดินก็ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ครับ เค้าใช้ชีวิตไม่กลัวเชื้อโรคกันเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะด้วยตัวประชากรที่เยอะ บวกกับพื้นที่ที่มีน้อยนิด ซึ่งไม่สัมพันธ์กัน การเป็นอยู่จึงค่อนข้างที่จะแออัดด้วยพื้นที่ ซึ่งเราเอง ที่เป็นนักท่องเที่ยวอาจอึดอัด แต่สำหรับ Local People แล้ว อาจไม่รู้สึกอึดอัดก็ได้ หรือบางที เค้าอาจจะมีความสุข กับอะไรที่เป็นแบบนี้ ดูสิ นั่งทำปลา แล้วขายกันข้างถนนเลย

อ่ะ เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงอีกที่หนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมา Kolkata ครับ เป็นร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ แล้วคือมันไม่ใหญ่ธรรมดาๆ นะ มันใหญ่แบบ ใหญ่มากกก และคนคือเยอะมากด้วยยย

INDIAN COFFEE HOUSE

คอลเลจสตรีทคอฟฟี่เฮ้าส์ ( কফিহাউস ) หรือ Indian Coffee House เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Presidency University ใน College Street เป็นร้านกาแฟอินเดียที่มีชื่อเสียงที่สุดในกัลกัตตา มักจะเป็นที่พบปะสังสรรค์ของพวกคุณครู นักศึกษา รวมไปถึงศิษย์เก่าของ Presidncy College  และที่โด่งดังเข้าไปใหญ่คือคนมีชื่อเสียง นักปราชญ์ ดารา ฯลฯ มานั่งจิบกาแฟอภิปรายกันที่นี่ครับผม

อย่างในศตวรรษที่ 20 ร้านกาแฟกลายเป็นสนามรบทางปัญญาของขบวนการวรรณกรรมและวัฒนธรรมรุ่น Hungry ที่มีชื่อเสียง กวีผู้โด่งดังชาวมลายูรอย Choudhury, Samir Roychoudhury สองพี่น้องผู้บุกเบิกการเคลื่อนไหวถูกจับกุมและดำเนินคดี นิตยสารวรรณกรรมหลายฉบับมีต้นกำเนิดมาจากแรงบันดาลใจจากการประชุมเพิ่มเติมที่ร้านกาแฟแห่งนี้

ฟอร์มชุดทำงานยูนีคมาก ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเมนูไหนฮิตสุด เอาเป็นว่า ลองสั่งกาแฟมาสักแก้วดูแล้วกัน จะได้รู้ถึงรสชาติ ว่าเป็นแบบไหน และหลังจากที่เอานมสด มาราดลงในกาแฟดำที่สั่งมานั้น ก็ทำให้รู้ว่า…. ไม่อร่อยค่ะ อ่ะ แต่เอาเป็นว่า ได้ไป ได้เหยียบ ได้สัมผัส ดมกลิ่น และจิบชิมพอเป็นพิธี

แต่เอาจริงก็งงนะ อากาศก็ร้อน ดันมาสั่งกาแฟร้อนเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก จังหวะนั้น สมมติว่ากาแฟเค้าอร่อยจริง แต่บรรยากาศไม่เป็นใจ อะไรก็ไม่ได้ คงเหมือนความรัก ที่คนรักเราให้เรามากแค่ไหน แต่คือเราไม่รักไง ดีแค่ไหนก็ไม่เห็นค่า ตึ่งโป๊ะ!!!

โบสถ์ St.John’s

ถัดจากร้านกาแฟ ถนนบริเวณนั้นจะมีโบสถ์หนึ่งตั้งอยู่เห็นเด่นชัด จริงๆ ไม่ได้อยู่ในแพลน แต่อ่ะ มาถึงแล้ว จะไม่เข้าไปก็กลัวว่าจะไม่ได้เห็นเหมือนอย่างคนอื่นเขา เลยเข้าไปหน่อย และพบว่า ถึงโบสถ์จะเล็ก แต่ก็ร่มเย็นมาก ประวัติต่างๆ ไม่สามารถหามาเล่าได้เลย แม้แต่ ณ ตอนนี้ที่ค้นหาใน google ก็ไม่มีประวัติของโบสถ์แห่งนี้ มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง

เอาเป็นว่าจำไว้แล้วกัน เดี๋ยวเราจะนั่งบัส แล้วพาเพื่อนๆ ออกไปไกลอีกนิดหนึ่ง ระหว่างการเดินทางในอินเดีย ยังคงมีเสียงเพลงที่บรรเลงเป็นเมโลดี้หลากหลายคีย์ด้วยเสียงแตร ประกอบกับฉากริมหน้าต่างรถที่เป็นวิวงดงา… เดี๋ยว!!! งดงามยังไง ตึกและผู้คนเต็มไปหมด อ่ะนั่นแหละ เค้าเรียกว่าเสน่ห์เว้ยยย!!!

และที่ที่เรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปกันต่อนี้ เรียกได้ว่า พลาดไม่ได้เลยนะ เพราะถือว่าเป็น highlight ของทริปเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่คือ….

มหาวิหารเซนต์ปอลแห่งเมืองกัลกัตตา (St. Paul’s Cathedral)

อีกหนึ่งมหาวิหารแองกลิกันที่มีความงดงามอีกที่หนึ่งของเมืองกัลกัตตา ถูกสร้างขึ้นในปี 1839-1847 โดยพระสังฆราชแดเนียล วิลสัน เป็นโบสถ์ที่มีความโดดเด่นในแบบสไตล์โกธิค ภายในประดับประดาไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ด้านในถูกตกแต่งด้วยกระจกหลากสีที่ถูกประกอบเป็นเรื่องราว

ส่วนใหญ่หากเป็นประติมากรรมแบบนี้ จะไม่อนุญาตให้นำกล้องขึ้นมาถ่ายรูปนะครับ เช่นเดียวกับ Drone ก็ไม่อนุญาตให้บินขึ้นไปเก็บภาพเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า ถ้าอยากมาเยี่ยมชมความงามของสิ่งที่มีอยู่ที่เดียวบนโลกแบบนี้แล้ว ก็ต้องตัดสินใจมาด้วยตัวเองแล้วแหละ อ่ะ ไปที่ต่อไปกันเลย

Victoria Memorial Hall

อนุสรณ์วิคตอเรียเป็นอาคารหินอ่อนขนาดใหญ่ในโกลกาตา สร้างขึ้นระหว่างปี 2449 และ 2464 อุทิศให้กับความทรงจำของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย (2362-2444) และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวภายใต้การอุปถัมภ์ของกระทรวงวัฒนธรรม

ช่วงมกราคม 2444 สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ที่ 1 บารอนเคอร์ซันแห่ง Kedleston สิ้นพระชนน์ (หลังจากสร้าง มาเควสเคอร์ซันเค็ดเค็สตันของ Kedleston) แล้วอุปราชแห่งอินเดีย ท่านลอร์ดเคอร์ซันเสนอการก่อสร้างอาคารที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์และสวน โดย เคอร์ซันกล่าวไว้ว่า…

” ให้พวกเรามีอาคารโอฬารกว้างขวาง และอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งผู้มาใหม่ทุกคนในกัลกัตตาจะเปลี่ยนไปซึ่งประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในยุโรปและพื้นเมืองจะแห่กันไป โดยทุกชั้นเรียน จะได้เรียนรู้บทเรียนประวัติศาสตร์ และเห็นการฟื้นฟูด้วยตัวของพวกเขาด้วยความอัศจรรย์ใจในอดีต ”

แต่เรื่องราวยังไม่จบดี เจ้าชายแห่งเวลส์ มหากษัตริย์จอร์จที่ 5 วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2449 และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมอย่างเป็นทางการในปี 2464 และในปี 2455 และก่อนการก่อสร้างอนุสรณ์สถานวิกตอเรียเสร็จ กษัตริย์จอร์จที่ห้าประกาศโอนเมืองหลวงของอินเดียจากกัลกัตตาไปยังกรุงนิวเดลี จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ เป็นสิ่งปลูกสร้างสุดท้ายที่ชิ้นใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงเก่าอย่างโกลกาต้า

สถาปนิกผู้สร้างอนุสรณ์วิคตอเรียคือวิลเลียมอีเมอร์สัน (2386-2467) ประธานสถาบันสถาปนิกแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ การออกแบบอยู่ในสไตล์การฟื้นฟูอินโด – Saracenic ซึ่งใช้ส่วนผสมของอังกฤษและโมกุลองค์ประกอบกับ Venetian, อียิปต์, Deccani และอิทธิพลของสถาปัตยกรรมอิสลาม

อาคารนี้มีความสูง 338 ฟุต (103 ม.) จาก 228 ฟุต (69 ม.) และสูงถึง 184 ฟุต (56 ม.) มันถูกสร้างขึ้นจากหินอ่อน Makrana สีขาว สวนของอนุสรณ์วิคตอเรียได้รับการออกแบบโดย Lord Redesdale และ David Prain ผู้ช่วยของ Emerson คือ Vincent Jerome Esch ออกแบบสะพานด้านทิศเหนือและส่วนของประตูทั้งหมด

ถือเป็นอีกที่ที่งดงาม โอ่อ่า มโหราฬทั้งในความรู้สึก และการที่ตาได้มาเห็นเลยล่ะ สมแล้วที่เป็น Highlight และเป็นประติมากรรมชิ้นสุดท้าย ก่อนที่ประเทศอินเดียจะเปลี่ยนเมืองหลวง

วัดเจ้าแม่กาลี Dakshineswar

เป็นวัดฮินดูขนาดใหญ่ที่อยู่ริมน้ำ เป็นสถานที่แสวงบุญของผู้นับถือศาสนาฮินดูนับล้านคนทั่วโลก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้สร้างขึ้นในสมัยกลางศตวรรษที่ 19 โดย Rani Rashmoni ผู้ใจบุญ ตัววัดมีเจดีย์เก้ายอด ยอดตรงกลางสวนหลักสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เจ้าแม่กาลี

รูปปั้นทั้งหลายทำจากหินภูเขาไฟดำ ห่มด้วยผ้าไหมทองยืนอยู่บนรูปปั้นหินอ่อนสีขาว ในท่านอนของพระศิวะ หนึ่งในเทพองค์สำคัญของศาสนาฮินดู รูปปั้นทั้งสองตั้งอยู่บนดอกบัวพันกลีบ ทำจากแร่เงิน ซึ่งหลังจากที่เหล่านักบุญมาทำพิธีกันแล้ว ก็จะไปชำระล้างบาปโดยการอาบน้ำชำละล้างตัวที่แม่น้ำคงคาด้านหลังวัด

ถือเป็นประเพธีและพิธีกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวเมืองแห่งนี้ ไม่สิ เรียกได้ว่าชาวศาสนาฮินดูทุกคนเลยก็ว่าได้ หากใครอยากจะชำระล้างบาป ณ สถานที่แห่งนี้ เชิญตามสบายนะครับ

วัดปารัชวานาธ เชน

วัดศาสนาเชนหนึ่งใน 4 แห่งในโกลกาตา ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่พอๆ กับศาสนาพุทธวัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1867 เพื่อไหว้พระขอพรให้การเดินทางเยือนเมืองโกลกาตาเป็นไปโดยสวัสดิภาพ

พอเดินเข้ามามองขึ้นไปบนเพดาน พบว่ามีภาพวาดประดับเป็นรูป พระอาทิตย์รายล้อมด้วยม้าสีขาว 4 ตัว ภาพนี้สื่อถึงความเชื่อของชาวเชนที่ว่า พระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึง ความรู้ ส่วนม้าขาวแสดงถึง พลัง ซึ่งหมายความว่า ความรู้เป็นบ่อเกิดแห่งพลังนั่นเอง

สวนและสิ่งปลูกสร้างถูกดีไซน์แบบสไตล์ยุโรป สร้างจากหินอ่อนซึ่งนำเข้ามาจากอิตาลี ส่วนวัสดุที่เหลือนำมาจากเบลเยียม ภายในตัววัดที่เราเข้าไปสักการะประดับด้วยกระจกสีสันสวยงาม และกระจกเงามากมาย อย่างที่บอกว่าประติมากรรมส่วนใหญ่ที่นี่ห้ามถ่ายรูป เราจึงถ่ายรูปได้เพียงแค่ด้านนอกเท่านั้น

Indian Museum

พิพิธภัณฑ์อินเดียหรือ “จาดูการ์” (Indian Museum) ของเมืองกัลกัตต้าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 1814 ภายนอกเป็นตึกสีขาวห้อมล้อมเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีสนามหญ้าด้านใน และน้ำพุอยู่ตรงกลาง

หากใครจะเยี่ยมชมจุดนี้ ต้องใช้เวลาหน่อย เพราะด้านในมีความหลากหลายมาก ทั้งภาพวาด งานศิลปะในแต่ละยุคสมัย สีน้ำ สีน้ำมัน Paper mache งานแกะสลัก เครื่องแต่งกาย มัมมี่ สัตว์บก สัตว์น้ำ นกเล็กใหญ่ งานหน้ากาก ซากฟอสซิล สารพัดมากมาย เรียกได้ว่า เอียนกันไปข้างหนึ่งเลย

ย่านกุมารตูลี

กุมารตูลี ที่ตั้งของตลาดผลิตและค้ารูปปั้นดินขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโกลกาตาอีกด้วย ซึ่งรูปปั้นแต่ละตัวก็มีเรื่องราวนะ และส่วนใหญ่ก็จะ related ถึงศาสนา

โดยศาสนาฮินดูมีเทพหรือเทพธิดารวมกันกว่า 333 ล้านองค์ แต่ที่โกลกาตาชาวเมืองนับถือพระแม่กาลี เป็นเทพคุ้มครอง เห็นได้จากชื่อดั้งเดิมของเมืองคือ “กาลีกาตา” ผู้หญิงในโกลกาตาจึงมีอำนาจเหนือผู้ชาย สามีจะให้ความเคารพต่อภรรยาและมารดาอย่างยิ่ง ขณะที่ทั่วอินเดียจะมีเทศกาล ‘บูชา’ เทพเจ้าเป็นประจำทุกเดือน และจะมีการปั้นรูปปั้นเทพเจ้าเพื่อใช้ในงาน พอเทศกาลสิ้นสุดชาวอินเดียก็จะนำรูปปั้นดินไปละลายในแม่น้ำ เพื่อนำดินกลับมาใช้ใหม่ โอ้วแม่เจ้า พอได้รู้ประวัติแล้วเราจะอินกับสถานที่ขึ้นมาเลยล่ะ

และนี่ก็เป็นลิสต์ Landmark สั้นๆ หากเพื่อนๆ มีโอกาสได้มา Kokkata เมืองที่เรียกได้ว่าทรงอิทธิพลก่อนที่จะถูกย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เดลลี ผมมองว่า Kolkata มีมันเสน่ห์บางอย่างที่ดึงให้ใครหลายคนอยากมาที่นี่ รวมถึงคนที่อยากมาแล้วด้วยนะ นอกจากประวัติความเป็นมาของตัวเมืองแล้ว ความเป็นอินเดีย เค้าก็มีเสน่ห์ของตัวเอง

จะมีประเทศไหนที่ระบบคมนาคมสาธารณะจะแน่นอัดกันขนาดนี้ ไม่ใช่แค่รถไฟ แต่รวมถึงรถยนต์ มอเตอร์ไซต์ และความเบียดเสียดแน่นเอียดกันบนถนน มาแรกๆ ยอมรับว่าอึดอัด อยู่ไปสักพักก็เข้าใจความเป็นอยู่ของคนที่นี่ คงสนุกน่าดู จะขึ้นรถทั้งทีก็เหมือนเล่นวิ่งไล่จับ

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณ Traveloka ที่ให้มาร่วมทริปกับ Thai smile เอาจริง Thai smile กับ Palapilii ไม่ค่อยได้ร่วมงานกันบ่อยนัก แต่ก็หวังลึกๆ ว่า ทริปหน้าถัดไป จะมีทริปหลักที่ Thai Smile จะได้ X กับ Palapilii บ้าง แล้วเจอกันระหว่างทางครับ

Leave a Reply

*