Road Trip แอฟริกาใต้ 10 วัน 9 คืน ด้วยเงิน 25,000 บาท [GARDEN ROUTE: cape town – port Elizabeth] ** ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน **

ลืมมมมมมม แอฟริกาใต้ในสมองสมัยเด็กๆ ที่คิดว่าร้อน เปื้อนผุ่น มีแต่ดิน และมีสัตว์ใหญ่ไล่แดกกันไปได้เลย เพราะทวีปแอฟริกา ไม่ได้มีโซนแบบนั้นอย่างเดียว แต่ยังมีแบบ Miami + Peru ให้พวกเราได้ร้องหวอเมื่อไปถึง ทริปนี้เป็นทริปกลางๆ ไม่สั้น ไม่ยาว 10 วัน 9 คืน เช่ารถขับจาก Cape Town ไปจนสุด Port Elizabeth ซึ่งคนทั่วโลกรู้จักในนาม The Garden Route

โดยเอาเข้าจริงๆ แล้วเจ้า Garden Route เนี่ย มันเป็นระยะทางเพียงแค่ 300 กิโลเมตรริมทะเลที่เริ่มจาก Mossel Bay ไปจนถึง Plettenberg Bay ซึ่งก็ถ้าไม่บินไปแล้ว เราก็ต้องขับรถไปอยู่ดี ฉะนั้นการพบเส้นการเดินทางใหม่ ไม่ว่าจะขับไปที่ไหน มันก็น่าค้นหาด้วยกันทั้งนั้น แล้วยิ่งทวีปที่หลายคนหลงไหลอย่างแอฟริกาแล้วด้วย โซนเหนือ โซนกลาง และโซนล่าง แม่งคนละเรื่องกันเลย

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูแพลนเที่ยวของเรากันเลยดีกว่า ว่าจะต้องใช้เวลากี่วัน วันไหนอยู่ที่ไหน และเวลาไหนควรจะทำอะไร ซึ่งตรงนี้ต้องขอแจ้งไว้ตั้งแต่ต้นเลยว่า แพลนที่เพื่อนๆ จะได้เห็นนี้ เป็นแพลนที่พวกเราได้ทดลองเวลา ทดลองกิจกรรมบางส่วนที่สามรารถทำได้ และได้เดินทางกันด้วยตัวเองจริงๆ ไม่มีไกด์ ไม่มีคนนำทาง ฉะนั้น ตลอดเวลา 10 วันที่เดินทางไปในทริปนี้ เราจึงขอแนะนำแพลนตัวนี้ให้เพื่อนๆ ซึ่งสำหรับเรา มันคือแพลนที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะไปรูทนี้เลยล่ะ

Day 0: flight day

depend on your flight manage : )

Day 1: cape town

05:00 lion’s head trekking
10:00 table mt. by cable car
12:00 beach + downtown
18:00 w.v. waterfront

Day 2: simon’s town + muizenberg

09:00 seal diving
13:00 penguin colony
15:00 surf at muizenberg

Day 3: betty’s bay + gansbaai

08:00 Harold porter garden
12:00 grutta beach
14:00 white shark cage diving

Day 4: stellendam + mossel bay

11:00 garden route game reserve
15:00 wine testing at reed valley
17:00 cave of st.blaise

Day 5: mossel bay + knysna

8:25 dragon sand boarding
15:00 oyster boat cruse

Day 6: knysna + plettenberg bay

08:00 east head cafe
10:00 the head viewpoint
12:00 waterfront
15:00 giraffe view safari camp

Day 7: plettenberg bay + port elizabeth

08:00 bloukans bungy
12:00 Tsitsikama national park
17:00 skoenmakerskop

End day: flight day (spent 2 days traveling)

สังเกตจากแพลนได้เลยว่าใน 10 วัน จะเสียวันเดินทางไปเลย 3 วันเต็มๆ ฉะนั้น หากเพื่อนๆ คิดที่จะไปเที่ยวที่นี่ อย่างน้อย ต้องมีเวลา 3 วันเผื่อไว้สำหรับเดินทางเก็บเอาไว้เลย แล้วที่เหลือ นั่นคือวันที่เราจะได้เที่ยวในทริปนี้ ซึ่งสำหรับเรา ก็คือทริป 7 วัน หรรษานั่นเอง เหตุก็เพราะประเทศเรา และประเทศเค้าอยู่คนละลองติจูดของเรา จึงทำให้เวลาห่างจากบ้านเราถึง 5 ชั่วโมง นั่นเอง เอาล่ะ เรามาพูดถึงการเตรียมตัวก่อนไปประเทศนี้ดีกว่า ว่ามีอะไรจำเป็นและสำคัญที่ต้องรู้บ้าง

การเตรียมตัวและสิ่งที่ควรรู้

การเดินทางทุกครั้ง มักมีเรื่องที่เราสงสัย อยากรู้ ระแวง และเป็นกังวลอยู่แล้ว ถ้าประเทศที่มันใกล้ๆ อย่างประเทศเพื่อนบ้านที่พอจะเข้าใจภาษาหรือหน้าตาท่าทางกันได้ ก็คงจะไม่เท่าไหร่ แต่พอข้ามไปยังอีกทวีปหนึ่งแล้ว บอกเลยว่าไม่ว่าจะเที่ยวมากี่ครั้ง ขนาดเราเอง ก็ยังกังวลใจอยู่ดี ฉะนั้น เวลาไปเที่ยวไกลๆ หลายๆ วัน การเตรียมตัวให้ดีที่สุด ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเรา

  1. ตั๋วเครื่องบิน ทริปนี้เราใช้เวลาเลือกตั๋วนานหน่อย เพราะเราพึ่งมาจองก่อนไปสองสัปดาห์ จึงทำให้ตั๋วค่อนข้างแพง แต่ก็ยังมีตัวช่วยประจำตัวที่ช่วยคัดกรองสายการบิน เวลาเดินทาง และราคาของแต่ละไฟลท์ได้อย่างสะดวกสบาย นั่นก็คือ Traveloka ซึ่งในช่วงโปร จาก BKK – CPT มีคนเคยกดได้ 15,000 บาทด้วยนะ แต่สำหรับเราหรอ 30,000 จร้าาาาา!!! //ถ้าไม่เชื่อส่งเมลล์มา เด่วเอาบิล forward ไปให้ ๕๕๕๕

นอกจาก Traveloka จะจองตั๋วบินได้แล้ว ยังสามารถจอง Shuttle bus รับส่งสนามบินหรือรถเช่า กิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงที่พักได้อีกด้วย ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสด้วยล่ะครับ แต่ยังไงก็ยังแนะนำให้เป็น Application ติดไว้ในโทรศัพท์อยู่ดี มีไว้ อุ่นใจกว่าเยอะ ที่สำคัญ สามารถชำระบริการได้หลายช่องทางอีกด้วย

จองตั๋วเครื่องบินไป Cape Town กับ Traveloka

2. การติดต่อสื่อสาร ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบซื้อซิมของประเทศเค้า คือจะไม่ซื้อซิมจากไทยไป คือใช้ได้นะ แต่มันก็สู้ซิมเค้า แล้วใช้สัญญาณบ้านเค้าไปเลยดีกว่าป้ะ มันน่าจะโอกว่า เรื่องซิมบางประเทศถูกกว่าไทย บางประเทศแพงกว่าไทย อันนี้คือปล่อยๆ ไป แต่ให้เอาชัวร์ ต้องมีเลยนะประเทศนี้ เพราะมัน walk in ไม่ได้เหมือนบ้านเรา บางอย่างก็ต้องโทรไปคอนเฟิร์ม และทุกอย่างคือต้องใช้เมลล์คอนเฟิร์ม ไหนจะหาข้อมูล ดูแผนที่บลาๆ เรียกได้ว่าซิมที่มีค่าโทรพร้อมเล่นอินเตอร์เน็ตที่นี่จึงสำคัญมากๆ ของเราซื้อซิมของ Next Cellular ที่อยู่ในสนามบินเลย ราคาซิม 99 ZAR ให้มาพร้อมค่าโทร 50 ZAR ส่วนอยากจะเติมเน็ต ก็ให้จัดการเองเลย มีราคาให้ดูพร้อมกับจำนวนที่ต้องการจะเล่น อ่าซิมนี้ ไม่มีวันหมดอายุด้วยแฮะ คือตังหมด ก็เติมได้เรื่อยๆ

3. ตั๋วเครื่องบินมีแล้ว อุปกรณ์สื่อสารมีแล้ว ต่อไปต้องมีพาหนะเดินทางก่อนครับ นั่นก็คือ รถประจำทริป เอาจริงๆ แล้วเพื่อนๆ สามารถหาได้ทั่วไปเลย จะเอาแบรนด์ดังอย่าง AVIS ก็ได้ HERT ก็ดี BUDGET ก็โดน แต่บอกเลยว่า ไอ่พวกเจ้าดังๆ พวกนี้คือต่อคิวนานมาก แนะนำให้หารถเช่า Local นอกจากจะถูกแล้ว ยังไม่ต้องต่อคิวนานอีกด้วย สามารถหาได้จาก Traveloka เหมือนกัน อย่างของพวกเราหาได้ของเจ้า First ครับ ได้รถ TOYOTA มาขับ ตกวันละ 189 ZAR และชาร์จค่าส่งรถต่างเมืองเพียง 1,000 ZAR คือถูกกว่าไทย เอาง่ายๆ ขับไปสิ

4. พูดถึงรายจ่ายเอยะแล้ว หลายคนคงงงว่าที่ใช้สกุลเงินอะไร ที่นี่ใช้สกุลที่เรียกว่าแรนด์ครับ (ZAR) ซึ่ง 2.2 THB จะมีค่าประมาณ 1 ZAR ง่ายเลยทีนี้ เวลาจับจ่ายอะไรก็คูณสองเข้าไปเลย นั่นคือราคาโดยประมาณเมื่อใช้สกุลไทย

5. ที่พัก บอกเลยว่า Traveloka ก็สามารถใช้หาที่พักได้เหมือนกัน อย่างที่บอกว่ามี Traveoka ติดไว้ในเครื่อง ยังไงก็อุ่นใจครับ ซึ่งปกติ ที่พักผมจะจองไว้แค่คืนแรกคืนเดียว แล้วหลังจากนั้น จะจองเป็นแบบ Day by Day คือค่ำไหน แล้วค่อยหาที่พัก อะไรประมาณนั้น และทริปนี้ เน้น Guesthouse เป็นหลักด้วยล่ะ

6. อุณหภูมิและภูมิประเทศ ต้องบอกก่อนเลยว่า สถานที่ที่เราจะไปส่วนใหญ๋จะติดทะเล และบางส่วนเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ภูเขามีมี ที่ราบก็เยอะ และด้วยความที่เป็นพื้นที่ที่ติดกับมหาสมุทราอินเดีย จึงทำให้ฝนตกค่อนข้างบ่อย แต่ตกแล้วไปเร็ว ไม่ตกแช่ค้างไว้เหมือนบ้านเรา อุณหภูมิก็ไล่ไปตั้งแต่ 10 – 30 องศาเลยนะ ที่เจอ ฉะนั้นเรื่องการเตรียมตัวในหัวข้อถัดไปก็สำคัญมาก

7. การแต่งกาย ควรเอาไปให้ครบเลย ทั้งเสื้อใส่แนวเมืองร้อน และเมืองหนาว รวมถึงกันน้ำ กันฝน ลงน้ำ เอาไปให้หมด คือต้องขอบอกว่ามันครบทุกสภาพภูมิอากาศจริงๆ หรือแม้กระทั่งชุดซาฟารีและเดินเขา ก็ต้องเอาให้พร้อม ทริปนี้ใช้รองเท้าตัวโปรดและเป้ของ Columbia รวมถึงเสื้อผ้า Set ใหม่ทั้ง Set ที่มีคุณสมบัติเหมาะกับทริปลุยๆ อย่างทริปนี้มาก

อ่ะขอขายเลย อันนี้พูดจริง เสื้อสีฟ้าที่พอมองใกล้ๆ เป็นเกล็ดสีเงินตัวนี้คือ Men’s PFG Terminal/Tidal Deflector Zero™ Hoodie เป็น Collection PFG รุ่นใหม่สำหรับ Summer นี้ ราคาตัวละ 3,550 บาท ออกแบบมาเพื่อคนที่ต้องเจอแสงแดดทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลิตด้วยเนื้อผ้าที่ดี คุณสมบัติครบครัน และเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากทางแบรนด์ โดยสำหรับในเสื้อตัวนี้นั้นประกอบด้วยเทคโนโลยีถึง 3 ตัวเลยนะ

  • OMNI-SHADE SUN DEFLECTOR – ULTIMATE SUN PROTECTION “ จุดเงินๆบนเนื้อผ้า ที่มีหน้าที่สะท้อนความร้อนจากแสงแดดเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมความร้อน ไม่ดูดแสง ซึ่งทำให้อุณหภูมิลดลงอีกทั้งรู้สึกเย็นและปกป้องรังสีจาก UVA & UVB
  • OMNI-SHADE – SUN PROTECTION เกราะป้องกันรังสีแสงจาก UVA และ UVB ที่ปกป้องผิวไม่ให้เสียหายจากแสงแดดที่แผดเผา
  • OMNI-WICK® – High-Performance Wicking Fabric เนื้อผ้าที่สามารถระบายเหงื่อได้เป็นอย่างดี รู้สึกแห้งและสบายตัวตลอดเวลาที่สวมใส่

8. รูเสียบปลั๊กบ้านเค้าไม่เหมือนบ้านเรา เพราะฉะนั้น การเตรียมตัวเอา Universal adapter ไป ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นสุดๆ ชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่มีไฟฟ้า เหมือนตายอ่ะ

9. ไม่ต้องทำ VISA นะ มาแบบสบายๆ ได้ 30 วันเลย

10. นี่สำคัญหน่อย เรื่องไข้เหลือง แอฟริกาใต้ ไม่อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ใน List ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เหลืองนะครับ (ดูจากแผนที่ด้านบน) ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนก่อนไป เข้าออกได้สบายครับ หายห่วง และหากกังวลว่า เราจะต้องไป Transit ในจุดเสี่ยงอย่างเอธิโอเปีย ก็ไม่ต้องเป็นกังวลครับ หากไม่ได้ออกไปนอกสนามบิน นี่ก็ไป Transit ที่เอธิโอเปียมาเหมือนกัน สบายๆ ครับ ไม่ถูกตรวจ หรือกักตัวอะไรทั้งนั้น แต่หากกลัวจริงๆ ก็ไปฉีดก็ได้ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เรื่องของร่างกาย ก็รู้ตัวเองดีที่สุข ว่าแข็งแรงแค่ไหน : )

จาก 10 ข้อข้างบนผมคิดว่าหมดแล้วนะ ถ้าคิดอะไรออก เดี๋ยวจะมา update เพิ่ม หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนเพียงอ่านจากตั้นจนถึง 8 ข้อนี้ ก็น่าจะเข้าใจแล้ว และไมคิดว่า เพียงพอต่อการนำไปเที่ยวได้เลยล่ะ แต่หากใครอยากฟังเรื่องราวแบบ Actual Trip ของไมในทริปนี้ เราไปเริ่มกันที่ DAY 1 ของการเดินทางครั้งนี้กันเลยดีกว่า ไปกันเลยยยยย!!!

D A Y  01: FLIGHT DAY TO CAPE TOWN

สวัสดีครับ เราขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ บินไปลงเอธิโอเปีย ต่อมาที่โจฮันเนสเบิร์ก แล้วก็มาจบลงที่สนามบินนานาชาติเคปทาวน์ ทั้งหมดทั้งสิ้น ใช้เวลาราวๆ 24 ชั่วโมง หรือเรียกได้ว่า 1 วันเต็ม แต่ด้วยความที่เราบินไปทิศทางเดียวกับที่โลกมันหมุน เลยทำให้วันที่บินขึ้น และวันที่บินลง แม่งคือวันเดียวกัน เตรียมตัวรองรับอาการเจ๊ทแล็คได้เลย ๕๕๕๕

หลังจากมาถึงสนามบิน เราก็มองหา sim ที่ไว้ใช้งานสำหรับ 7 วันของเราที่อยู่ที่นี่เลยครับ ซึ่งข้อมูลก็อยู่ใน chapter ที่ 0 ที่ผมได้ให้ข้อมูลไว้แล้ว หลังจาก activate อะไรเสร็จเรียบร้อย ก็มองหาโซน car rental เลย ซึ่งสังเกตุง่ายๆ มากๆ และอาคารรับรถรวมถึงบูธต่างๆ ของบริษัทรถเช่า จะอยู่นอกอาคารโดยสาร เดินไปหน่อย เดี๋ยวเดียวก็ถึง หรือหากหาไม่เจอ ถามคนแถวนั้นได้เลย เนื่องจากที่นี่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ฉะนั้นแล้ว ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้แน่นอน คอนเฟิร์ม

การรับรถของที่นี่ก็เหมือนกับทุกประเทศครับ 1. passport 2. International license 3. Thai license หารจองมาแล้ว ยื่นสามสิ่งนี้ พร้อมบัตรเครดิทที่ Activate อยู่ ให้เค้าได้เลย สิ่งสำคัญจงจำไว้ว่า การเช่ารถทุกที่ทั่วโลกที่เป็นของ Global หรือต่างชาติ จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตครับ ฉะนั้น บัตรเครดิตกับเรื่องราวในชีวิตของทุกวันนี้ จึงสำคัญ ถ้ามีเวลา อยากจะรีวิวบัตรเครดดิตมากๆ แต่เอาไว้ก่อน ไว้ content หน้าเนอะ ซึ่งทริปนี้ เราเช่ารถ 7 วัน ตกวันละ 400 กว่าบาท จ่ายค่าส่งต่างเมืองอีก 2,000 บาท แค่นั้นเอง โคตรถูก!!!

หลังจากเคลียทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกการเดินทางของไมทุกครั้ง ที่พักคืนแรกสำคัญมากๆ เพราะถือเป็นฐานปฏิบัติและเตรียมการของวันต่อๆ ไป ส่วนที่พักคืนต่อไปนั้น จองวันต่อวันไปเลยง่ายๆ ไม่ซีเรียส ฉะนั้นที่พักที่แรกจึงต้องอยู่ใน Location ที่สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะทำในวันรุ่งขึ้น นั้นก็คือ อยู่ตีนเขาของ Lion’s Head และตรงข้ามกับ Table Mountain ไปเลย ที่น่าตกใจคือราคาที่พักคืนนี้อยู่ในเรท 1,000 – 2,000 บาท แต่ได้ห้องยั่งกับห้อง Sweet Suite ตามเกาะที่ไทยเลยล่ะ ไปดู

ซึ่งที่พักคืนแรกชื่อ Cape Town Lodge Hotel จะมีเพิ่มเติมเล็กน้อยคือค่า Breakfast หากต้องการ และค่าจอดรถคืนละ 70 Zar ถือว่าไม่แพงเท่าไหร่ และที่สำคัญ ตัวโรงแรมตกแต่งสวย และมีห้องอาหารสำหรับ Dinner เก๋ๆ ด้วยยล่ะ สำหรับคืนนี้บอกเลยว่า กว่าจะถึงที่พักก็ปาไปสี่ซ่าห้าทุ่มแล้ว แล้วพรุ่งนี้คือต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพี่อไปทำกิจกรรมแรกของทริปด้วย นั่นก็คือ trekking

D A Y  02: HEAD’s LION AND BOULDER PENGUIN COLONY

เริ่มต้นทริปด้วยการตื่นสายเลยครับ เอาจริงคือห้องแม่งดีเกินไป ดีจนแบบ วันนี้นอนเล่นอยู่ห้องได้ไหม ไม่ไปไหนได้ไหม จริงๆ ต้องออกตีสี่ สุดท้ายงัวเงียไปมาออกหกโมงกว่าเฉย วันนี้เราตั้งใจจะใช้เวลาที่ Cape Town ให้พอเหมาะพอควร ไม่เยอะ ไม่น้อย และไม่มากไป ซึ่งที่แรกที่เราจะทำเลยคือการเดินเขา ที่ถามมาสามสี่คนทั้งคนไทยและคนที่นี่ก็บอกว่าต้องขึ้นไป นั่นก็คือ Lion’s head ภูเชาหัวสิงโตใจกลางเมือง Cape Town นั่นเอง

บอกแล้วไงครับ ว่าที่พักเราอยู่ตีนเขาเลย ขับรถไปราวๆ 5-10 นาทีก็ถึงลานจอดสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะปีนขึ้นไปบนยอดของหัวสิงโตครับ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ที่จอดเต็ม เต็มจนรถคันอื่นๆ ต้องจอดไหล่ทาง ที่นี่มีกฏอยู่อย่างหนึ่งว่า ต้องหันหัวรถไปในทางที่รถเดินครับ คือถ้าหันไปผิดฝั่ง ตำรวจจะเข้ามาปรับ

เนี่ย คือจอดริมถนนแบบนี้เลย ไม่เป็นไรครับ ซึ่งพอเราอยู่ที่ตีน Lion’s Head ก็จะเห็น Table Mountain แบบเต็มลูก ซึ่งสวยมากๆ สำหรับ Table Mountain ทริปนี้ พวกเราไม่ขึ้นไปนะครับ ขี้เกียจ ใช่ ง่ายๆ เลยคือขี้เกียจ แต่สำหรับใครที่ต้องการจะขึ้นไป ก็มีสองวิธีด้วยกัน นั่นก็คื… เดี๋ยวก่อนนนนน ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ขอหันซ้ายไปดูก่อนนนน!!!

ให้ตายเถอะ เพียงแค่ที่จอดรถ ก็ทำให้เราได้เห็นวิวทั้งเมืองทางฝั่งตะวันออกของ Cape Town แล้วหรอเนี่ย คือมันสวยจริงๆ ตะกี้พูดถึงไหนนะ อ่ออออ…. เรื่อง Table Mountain ใช่ไหม คืองี้ มันขึ้นได้สองวิธี คือ Trekking กับขึ้น Cable Car ซึ่ง Cable Car มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ต้องไปหาดูอีกที ส่วน Trekking ก็มีหลายรูทมากๆ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าเข้าหรือค่าไกด์อะไรทั้งนั้น สามารถขึ้นไปได้เอง เหมือนกับ Lion’s Head แต่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเองด้วย

แต่งตัวกันเสร็จ เตรียมพร้อม ก็ไปที่จุด Star ก่อนเลย แต่เอ๊ะ Food Truck จอดอยู่ จะกินหรือไม่กินดี ยังไงดีเรา ไม่รู้แหละ อีเสื้อชมพูเดินเข้าไปสั่งแล้ว แฟนกูเอง ๕๕๕ ก็นะ มื้อเช้ามันจำเป็นเนะ ก็เอาหน่อยสักนิด แบ่งกันคนละครึ่งเป็นแซมวิสแฮมเบาๆ พร้อมน้ำผลไม้แบบเฟรชๆ

เอาล่ะ ทานพออิ่ม ถึงคราวที่จะต้องขึ้นไปแล้ว ต้องแจ้งให้ทราบก่อนเลยว่า ปกติโดยทั่วไป นักท่องเที่ยวจะใช้เวลาขึ้นและลงราวๆ 4 ชั่วโมง อันนี้คือ Standard เลยนะ ฉะนั้น ต้องกะเวลาตามร่างกายของเราให้ดีเลย ระยะทางเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เส้นการเดินทางจะเป็นการเดินตามเข็มนาฬิกาหนึ่งรอบใหญ่ แล้วปีนเขายาวจนไปถึงจุดยอดสุด เอาล่ะ ไปกันเลย

ขึ้นไปเรื่อยๆ จะวนมาฝั่งตะวันออก จะเห็นเส้นทางของการไป Cable Car ของ Table Mountain ก็เกิดความสงสัยกับตัวเองว่า ทำไมกูไม่ขับรถไปจอดตรงนั้นดีๆ แล้วนั่ง Cable Car ขึ้นไปอีกเขาลูกหนึ่งวะ กูมาเดินให้เหนื่อยทำไม ๕๕๕๕ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะมีอาการแบบนี้ทุกครั้งเมื่อ Trekking แต่ก็อย่าลืมว่า เมื่อเราใช้เท้าเราเดิน วิวที่เราเห็น มันก็จะช้า ละเอียด แล้วก็ดูความสวยอย่างปราณีตได้ประมาณนี้

แต่พอมองลงมาบางจุดก็ตลก ดูอย่างถนนเส้นที่เราจอดรถสิ แหมมมม… จอดกันเป็นระเบียบ น่ารักเฉียว ซึ่งหลังจากจุดนี้นี่แหละ การปีนเขาจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ที่นี่ เค้าทำ Via Ferata และบันไดเหล็กเอาไว้ให้บางจุดที่ยากๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวเลย แค่เอาใจกับแรงกายมาเท่านั้น

บางจุดบอกเลยว่าอันตรายมาก ตกไปไม่ตายก็ขาหักครับ เพราะฉะนั้น จุดไหนที่เค้ามีป้ายเตือน ก็ให้ระวังให้ดี ระหว่างการ trek ก็จะมีสัตว์จำพวกหนึ่งที่คล้ายหนู และกระรอก ป้วนเปี้ยนอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเรียกว่าตัวอะไร แต่น่ารักดี อีกไม่ไกลหลังจากผ่านเนินลูกนี้ คิดว่าน่าจะถึงแล้วล่ะ

และก็ถึงจนได้ เย่!!!! เหมือนสูงแต่ไม่สูงเลย เพราะจุดสูงสุดมีความสูงเพียง 669 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น แต่การใช้เวลาอยู่ข้างบนนั้น มันไม่ธรรมดาเลย มันมีค่า มันสวยงาม และมันมหัศจรรย์มากๆ ครับ

สรุปสั้นๆ เป็นเขาที่ปีนไม่เหนื่อย และเดินง่ายมากๆ แถมวิวสวยอีกด้วย ที่สำคัญคืออยู่ในเมือง ไม่ได้เดินทางออกไปไหนไกล จริงๆ แล้ว เคปทาวน์เป็นเมืองที่มีกิจกรรมเยอะมาก เยอะแบบถึงเยอะที่สุด แต่ด้วยความที่ทริปครั้งนี้ เราตั้งใจจะ Road Trip การเที่ยวใน Cape Town จึงไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่

สถานที่ที่เราจะไปหลังจากปีนเขาเสร็จมาเหนื่อยๆ นั่นก็คือ V.W.Waterfront ครับ หรือ Cape Town Pier นั่นเอง ที่นี่จะคล้ายๆ Pier 39 ที่ San Francisco เลยล่ะ คือคล้ายกันมาก ถึงมากที่สุด นั่งเรือออกไปเดี๋ยวเดียวก็เจอแมวน้ำเป็นฝูงเลย ที่นี่นอกจากจะมีอาหารแต่ละร้านที่น่าทานแล้ว ยังเป็นแหล่ง Shopping ขนาดใหญ่อีกที่หนึ่งของ Cape Town อีกด้วย

เนื่องจากว่าเคปทาวน์เป็นเมืองท่า จึงไม่แปลกที่จะมีฝนมาบ่อยๆ แต่ก็มาไม่นานครับ ให้แนะนำอีกอย่างคือ การมาที่นี่ช่วงเย็นๆ หรือหัวค่ำ ถือเป็นอะไรที่ดีมาก เพราะนอกจากบรรยากาศจะดีแล้ว ยังมีดนตรี ผู้คน อาหารที่ถูกปาก หลากหลายอารมณ์ในคืนนั้นเลยล่ะ คือแนะนำจริงๆ แต่สำหรับเราด้วยความที่เวลามีจำกัด มื้อเที่ยง ก็ถือว่าได้อรรถรสไปพอสมควร

จริงๆ ก็มีหลายร้านให้เลือก แต่ก็ขอพูดถึงร้านที่เราทานที่ชื่อว่า Seelan Bristo and Bar หน่อยเหอะ คือแม่งดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรไม่อร่อยเลย แล้วที่นี่ตอนกลางคืนก็ดีเรื่อง cocktail ไปแล้ว แต่บอกเลยว่า Milkshake ก็สุดไม่แพ้กัน ตัวที่ถืออยู่ก็ Choccolate Milkshake Brownie คือดีสัส อีกสองอย่างก็จะเป็น Signature ของทางร้าน เป็น Steak และ Burger ที่อยู่หน้าแรกๆ ของเมนูเลย

ทานเสร็จขอเดินย่อยหน่อย จริงๆ แล้วถ้าอากาศดี เราจะเห็น Table Mountain เป็น Background แต่ก็อย่างในภาพครับ อย่าอยู่กล้างแจ้งนาน ฝนตกแน่นอน อ่ะ ไปเดินดู Waterfront เค้าหน่อย ว่าดีงามแค่ไหน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ควรมาตรงนี้ เพราะมี Travel Agency เต็มไปหมด เรียกได้ว่า เป็นการมาจอดเพื่อวางแผนในวันถัดไปได้เลย แต่…. ทริปของเรา ขอผ่าน Cape Town ไว้ ณ แห่งนี้เลย และนี่ คือที่สุดท้ายที่เราจะอยู่ในเมือง Cape Town ครับ

ตรงนี้ถือเป็นอีกจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่คนมาต่อคิวถ่ายกันเยอะมาก มันจะเป็นกรอบรูปให้เราเข้าไปอยู่ใน Frame แล้วถ่ายติด Background ที่เป็น Table Mountain

เอาล่ะ… สำหรับวันนี้เรารู้ตัวแล้วว่า เราจะไม่นอนใน Cape Town แน่นอน เราจะมุ่งหน้าไปที่ Simon’s Town ระหว่างทางเลยจองที่พักแบบเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งที่พักหลังจากนี้ที่เราจะเน้นคือ Hostel & Guesthouse เรียกได้ว่า ประหยัดงบกันสุดๆ

ไม่นานนักราวๆ ชั่วโมงครึ่งก็เดินทางมาถึงที่พักคืนที่สองครับ นั่นก็คือ Simon’s Town Boutique Backpackers คืนนี้ค่าเสียหาย 1,085 บาท คือเรียกได้ว่าดีงามมากๆ ตัวที่พัก เป็นแบบ Hostel บรรยากาศโอเคเลย มีห้องนั่งเล่น มีครัวให้ใช้ มีห้องน้ำรวม มีไวไฟ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีระดับหนึ่ง ที่สำคัญ ใกล้เมืองเพียง 300 เมตรเท่านั้น

หลังจากเข้าไปเช็คอิน เราก็สอบถามสถานที่ท่องเที่ยวในแถบนี้เลยว่า มีอะไรให้ไปเดินเล่นบ้าง ซึ่งเราเหลือเวลาราวๆ 2 ชั่วโมงครับ ก็จะมีพวกมิวเซี่ยมเอย กิจกรรมทางน้ำเลย ลานเพนกวิ้น แหลมกู้ดโฮ… เดี๋ยว ลานเพนกวิ้น อันนี้น่าสนใจแฮะ เปิดดูในแผนที่ ให้ตายเหอะ ห่างจากที่พักเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น จะรออะไร ไปสิคะ

ต้องบอกเพื่อนๆ ก่อนว่า Boulder Penguin Colony จริงที่นี่มี 2 โซน คือโซนเข้าฟรี กับโซนเสียตังค์ โซนเสียตังค์ก็จะจ่ายคนละ 150 Zar มันจะเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ฯ ของที่นี่เลย ก็จะมีเพนกวิ้นเป็นพันตัว ใช่ครับ เป็นพันตัว แต่ด้วยความที่เราลองแอบดูจากด้านนอกแล้ว (นิสัยไม่ดี) เหมือนกับว่าจะไม่ได้ใกล้ชิดเท่าไหร่ เน้นไปเห็นเฉยๆ เราเลยปรึกษากันว่า เอาที่นี่แหละ ที่ Playa con pingüinos แค่บริเวณนี้ ก็เห็นเพนกวิ้นฟรีๆ แถมยังใกล้ชิดเท่าไหร่ก็ได้อีกด้วย อารมร์ก็ประมาณเหมือนไปเยี่ยมเพื่อนแบบในภาพเลย ๕๕๕๕

บริเวณนี้จะไม่เสียค่าจอดรถนะครับ แต่เพียงแค่ว่า ที่ประเทศนี้จะมีพวก Homeless หรือคนไม่มีเงิน มาทำหน้าที่อิสระอย่างโบกรถให้จอด หรือเฝ้ารถอะไรแบบนี้ คือเค้าก็จะมาขอตังค์เราครับ จริงๆ จะไม่ให้ก็ได้ แต่ก็นะ เพื่อนมนุษย์ครับ จัดไป ที่ 10% ของทุกอย่างสำหรับเมืองนี้ แต่เกณฑ์ของเราคือ 10% แต่ไม่เกิน 50 Zar ครับ นั่นถือว่าพอเพียงแล้ว ๕๕๕๕

นอกจากบริเวณนี้จะมีเพนกวิ้นแล้ว ยังสามารถเช่าคายัค แพดเดิลบอร์ด หรือชุดดำน้ำตื้นไปเล่นน้ำได้ด้วยนะ แต่ด้วยอากาศที่สิบองศาต้นๆ แบบนี้ ลงไปก็แย่แล้วครับ อ่า จะบอกว่า ช่วงที่เราไปกำลังเข้าหน้าหนาวของที่นี่เลย อุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 12-17 องศาเซลเซียสครับผม เวลาเหลือ เราไปเดินดูรอบๆ ต่อกันดีกว่า เผื่อเห็นอะไรดีๆ

เราเดินผ่านไปในโซนของเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ฯ ครับ (บริเวณที่ไปแอบดูนั่นแหละ) ก็จะเห็นจุดวางไข่ของเพนกวิ้นด้วย มีเสียงร้องของเด็ก เสียงร้องของแม่ยั่วเยี่ยกันเต็มไปหมด บางตัวนี่คือขึ้นมาเดินบนถนนเลย แต่นี่ไม่ได้ถ่ายไว้ ถ่ายแต่วีดีโอ เดี๋ยวยังไงตามดูวีดีโอกันด้วยนะครับ ฮาๆๆๆ

บริเวณนั้นจะมีร้านไอติมอยู่ร้านหนึ่ง จัดได้ว่าเด็ด… แต่จริงๆ คือเดินผ่านต้นไม้ที่มีดอกไม้ เลยซื้อไอติมมาถ่ายรูปด้วยแค่นั้นเฉยๆ ครับ ๕๕๕๕ ไอติมก็อร่อยดี

เวลาเราเหลือเยอะครับ ไปเดินดูเมือง Simon’s Town กัน ที่นี่ก็จะเป็นเมืองชายทะเลที่ชิคๆ หน่อย ใครเล่น Board ผมว่าต้องชอบเมืองแนวนี้มากๆ เพราะแมทกันโคตรๆ

สำหรับคืนที่สองบอกเลยว่ากินอะไรเบาๆ นั่นคือมาม่าที่แบกมาจากบ้านครับ ทริปนี้เราจะไม่ยอมแน่นอน เพราะการมาเที่ยวนานๆ มาม่า น้ำพริก และอะไรที่เป็นไทยๆ มันเพิ่มความไม่เบื่อของอาหารได้ ระหว่างคืนก็พากันจองทริป จัดแจงทริปเรียบร้อย พักกันสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้เจอกันครับผม…

D A Y  03: Unlucky In Lucky Day

วันที่สามเป็นวันที่เกือบทำให้ทุกอย่างล่มพังทลายสูญหายไปหมดครับ ระหว่างที่รอไปทำกิจกรรมทางน้ำของวันนี้ เราก็ check in ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เอาของขึ้นรถปิดฝากระโปรง แล้วกำลังจะขึ้นไปหยิบของที่เหลือช่วยแฟนลงมาจากที่พัก แต่ไอ่สัสเอ้ยยยย กู Lock รถอยู่ แล้วกุญแจก็วางไว้หลังกระโปรงรถ แล้วตะกี้อะไรนะ ” ปิ ด ฝ า ก ร ะ โ ป ร ง ร ถ ” จร้าาาาาาาา งานค่ะ งานมา งานงอก ยังไม่ได้อยากได้งานตอนนี้โว้ยยยยยย!!!

บอกเลยครับ สิวๆ ไม่เครียด เพราะโคตรเครียดดดดดดดดด ก็เนี่ยเครียดแล้ว แต่คนที่มาด้วยต้องเครียดหนักแน่นอน มึงเข้าใจอารมณ์ป้ะ จู่ๆ เดินลงมา กำลังจะเก็บของ แล้วบอกว่าลืมกุญแจอยู่ในรถ ทั้งๆ ที่อีกหนึ่งชั่วโมงมึงจะต้องไปดำน้ำแล้วอ่ะ ๕๕๕๕ สัส ตั้งสติ หาเบอร์ของร้านเช่ารถแล้วโทรไป แม่งก็บอกว่าจะมาภายใน 1 ชั่วโมง แล้วคือ… คือกูต้องไปดำน้ำภายใน 1 ชั่วโมง นี่เลยตรากหน้าโทรหาร้านดำน้ำว่ารอกูหน่อย กูลืมกุญแจไว้ในรถ ร้านดำน้ำก็บอกว่า ไอ่สัส มึงลืมแบบนี้กูจะรอมึงหรอ ขอโทษด้วยนะ กูต้องรักษาเวลา พาแขกที่เหลือไปก่อน แล้วทิ้งกูไว้ที่นี่แห…สัส!!! เค้าไม่ใจร้ายขนาดนั้น เค้าบอกว่า ใจเย็นๆ พยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ เราจะรอพวกคุณเพิ่มอีก 30 นาที อีเหี้ยเอ้ยยยย ขอบใจมากกกกกกกกกก และสุดท้ายก็อย่างในภาพครับ ไม่ใช่บริษัทเช่ารถเอากุญแจสำรองมาให้นะ แต่เป็นบริษัทงัดรถเลยอีเหี้ย ๕๕๕๕๕๕

และกิจกรรมที่เราจะทำในวันนี้คือ ดำน้ำกับเจ้าอุ๋งๆ ครับ แงงงง เป็นความฝันเลยล่ะ ทริปนี้ขอขายให้เจ้านี้นิดหนึ่ง เจ้านี้ชื่อ Pisces Divers ( https://piscesdivers.co.za )อยู่ห่างจากที่พักเราแค่ 1 กิโลแม้ว ใช่ครับ เมืองนี้มันเล็ก ทุกอย่างอยู่ใกล้กันไปหมด ทริปดำน้ำกับแมวน้ำมีอยู่สองราคา คือ 950 Zar เป็นแบบ Snorkeling ส่วน 1,100 Zar จะเป็นแบบ Scuba ใช่ครับ ระดับเรา Scuba แน่นอน สำหรับเพื่อนๆ ที่จะ Scuba ต้องเอา Diver License มาด้วยนะครับ สำคัญมากๆ สำหรับเมืองนี้

มาถึงก็จัดแจงเตรียมชุด หล่อ… เตรียมฟิน หล่อ…. เตรียมน้ำหนัก หล่อ… เตรียม ถุงมือ หล่อ… ไอ่สัส ทำไมมึงหล่อจังวะ คือมึงหล่อจนกูขอบอกว่าหล่ออ่ะ อ่ะ มาต่อ ซึ่งประเทศนี้ ในทะเลอินเดีย ต้องบอกว่า คลื่นแรง และน้ำเย็นมากๆ เย็นขนาดไหนหรอ ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส มึงลืมชุดบางๆ ที่ดำน้ำเล่นที่ไทยได้เลยอีเหี้ย ทีนี่เค้าแม่งชุดหน้าเกือบ 1 เซนติเมตร อิห่า

หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็ขึ้นรถแล้วไปที่ท่าเรือครับ จากจุดเริ่มต้นไปยัง Seal Island (เป็นชื่อเรียกสมมติ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นโซนหินที่โผล่มาเหนือน้ำทะเลแล้วมีแมวน้ำอาศัยอยู่แค่นั้น) เราจะใช้เวลาเดินเรือราวๆ 15 นาทีครับ

พอเห็นแล้วตื่นเต้นมากๆ คือจะได้ดำน้ำกับแมวน้ำแล้ว แต่ปัญหาก็เกิดครับ คือด้วยความที่เราไม่เคยดำน้ำในโซนนี้ การเลือกชุดมันเลยมีปัญหา มันไม่พอดี มันรัดคอทำให้ผมพะวง และหายในไม่สะดวก บวกกับเบลล์ที่เตรียมมา มันไม่สัมพันธ์กับน้ำหนักเรา หลังจากลงน้ำไป ด้วยความที่แพนิก หรืออะไรก็ตามแต่ ตัวผมไม่จมน้ำ

แม้จะปล่อยอากาศหมดแท็งค์ ตัวก็ไม่จมลงไปใต้น้ำ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ลง จนกระทั่งรู้สึกจะเป็นลมครับ เพราะเดินมที่เราหายใจไม่สะดวกอยู่แล้ว ยังต้องมาหายใจทางปากผ่านอากาศในแท็งค์อีก ด้วยความใจเย็น และหวนคิดอีกครั้ง ขึ้นดีกว่า อย่าพึ่งตายที่นี่เลย ซึ่งเหตุการณ์นี้ แฟนผม ก็เป็นเหมือนกัน แต่ถูกคนนำดึงลงน้ำ ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม นี่ถือว่าเป็นความเลวร้ายของคนนำมาก คือแย่สุดๆ

แต่สุดท้ายแล้ว มาทั้งที ก็อยากจะกลับลงไปอีกครั้ง แต่ว่าระบบหายใจมันไม่ไหวแล้ว รู้ตัวเลยว่า ถ้าลงแบบ Scuba คือแย่แน่ๆ เลยกลายเป็นลงแบบ Snorkeling แทน ถึงแม้จะไม่ได้ดำลงไปใต้น้ำ เพราะ Free dive ไม่ไหวแล้วจังหวะนั้น แต่ก็ได้เล่นกับเจ้าเหมียวน้ำในช่วงขณะหนึ่ง…

สุดท้ายแล้ว ต้องบอกว่า ดีนะที่ไม่ตาย อีเหี้ย คือน่ากลัวจริงๆ ฝนก็ตก ลมก็แรง คลื่นนี่คือซักขึ้นจมูกตลอด แล้วคือน้ำเย็นแบบต่ำกว่า 10 องศา ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไม่ลงไปต่อในขณะที่ยังไม่พร้อม ไอ่บ้าเอ้ย พึ่งดำได้แค่ 47 ไดฟ์ มาเจอแบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ ต่อให้ใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่คุ้มเสี่ยงจริงๆ

Simon’s Town เป็นอีกเมืองที่ผมชอบมากๆ และจะกลับมาอีก มันมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก จริงๆ จะมีแหลมกู้ดโฮปที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวการการเดินเรือมาพบแผ่นดินใหม่ด้วยนะ ก็อยู่ที่เมืองนี้ แต่เราไม่ได้ไปครับ เวลาเราไม่พอจริงๆ หากจะต้องเที่ยวแบบ Garden Route โดยใช้เวลา 7 วัน เอาล่ะ แต่อีกเมืองหนึ่งก็น่ารักไม่แพ้กัน นั่นก็ Muizenberg

Muizenberg เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ห้ามพลาดมากๆ ครับ เป็นเมือง Hippy ที่น่ารัก เป็นเมืองแห่งการเล่น Surf Wave เป็นเมืองแห่งของกิน เป็นเมืองของชาว Board เป็นเมืองที่เชี่ยยยยยย อยากนอนค้างที่นี่คืนนี้เลย จะไม่พูดอะไรกับที่นี่มาก เอาบรรยากาศไปดูเองเลยแล้วกัน เพราะสำหรับที่นี่เราแค่แวะเพราะเป็นทางผ่าน แต่รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง อยากจะบอกเพื่อนๆ ว่า ควรปักหมุดเมืองนี้ไว้เลย ถ้ามีโอกาสมาเยือน South Africa

เป็นเมืองทางผ่านของผม ที่แม่งอยากจะหยุดพักที่เมืองนี้สักคืนหนึ่งจริงๆ แต่ไม่ได้ครับ การเดินทางของเราต้องไปต่อ ระหว่างทางเราทำการจองที่พักที่ใหม่ของเราอีกครั้ง สำหรับคืนที่สามคืนนี้ เราพักกันที่ Cornerstone ครับ ราคา 1,116 บาท

ระหว่างทางจาก Muizenberg ไปจนถึงที่พักของเราที่อยู่เมือง Better’s Bay บอกเลยว่าสวยมากๆ เพราะเป็นถนนเรียบชายฝั่ง ตอนกลางวันคงสวยน่าดู แต่เราเดินทางตอนกลางคืนก็อันตรายใช่ได้เหมือนกัน เราใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่พักครับ ที่พักเป็นบ้านของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ลูกไปเรียนต่อมหาลัย แกเลยเปิดห้องของลูกให้เป็นห้องรับแขกแบบ Guesthouse นั่นเอง

ที่พักน่ารักมาก แต่เจ้าของบ้านน่ารักกว่าเยอะ เจ้าของบ้านชื่อป้าแพมครับ เดี๋ยวตอนเช้า เราจะพาเพื่อนๆ ดูบริเวณโดยรอบบ้านป้าแพมกัน รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ที่ป้าแพมเลี้ยงไว้ที่บ้านด้วย สำหรับคืนนี้ ขอบคุณในความไม่โชคดี ที่ทำให้เราโชคดีจริงๆ

D A Y  04: CAGE SHARK DIVING

สำหรับวันที่สี่ ถือเป็นอีกวันที่ต้องบอกว่า ไม่ได้อยู่ในแพลนของเราตั้งแต่แรกครับ แต่มาแล้วก็เอาหน่อยแล้วกัน คือจริงๆ ต้องอธิบายแบบนี้ ตั้งแต่ที่เราอยู่ Simon’s Town เราตั้งใจจะไปดำน้ำกับฉลามกลางทะเลแบบทะเลเปิดครับ แต่ทริปวันนั้นไปไม่ได้ เพราะบางเจ้าก็เต็ม ส่วนบางเจ้าก็ไม่ออกเรือ เนื่องจากว่าฝนตก ก็เลยเลือกการดำน้ำกับฉลามขาวในกรงที่เมือง Gansbaai แทนนั่นเอง แต่อย่างที่ค้างไว้เมื่อคืนครับ เรามาทำความรู้จักกับบ้านป้าแพมกันดีกว่า

บ้านป้าแพมเป็นบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ Better’s Bay เลย เรียกได้ว่า ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น สวนพฤกษา หาดเพนกวิ้น ทะเลสาบ หรือการ Trekking ในป่า ที่นี่มีหมด แต่เพียงแค่ว่า เราไม่ได้แพลนว่าจะมาทำกิจกรรมที่นี่เท่านั้นเอง เราบอกป้าแพมไว้เมื่อวานว่าอาจตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไป Harold Porter National Botanical Garden แต่สุดท้าย ด้วยความน่ารักของป้าและสัตว์เลี้ยงของบ้านนี้ ก็ทำให้เรายอมตัดกิจกรรมทิ้งไปเลยดื้อๆ

ก็ดูนี่สิ เรากำลังจะออกไป แกรู้ว่าเราออกแต่เช้า แกก็ทำ Muffin Handmade ให้ พร้อมเขียนจดหมายให้เราด้วย คือน่ารักมาก เหมือนกลับบ้านมาเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดยังไงยังงั้นเลย….

บ้านป้ามีหมาสองตัว น่ารักมากกก คือมันน่ารักจริงๆ แล้วแกก็จะเลี้ยงนกแบบธรรมชาติ คือให้อาหารนกหน้าบ้าน จนนกมันจำบ้านป้าแพมได้ มากินอาหารทุกเช้าและทุกเย็น เรียกได้ว่า มีเสียงนกร้องให้ฟังอย่างเพราะพริ้งกันเลยทีเดียว มากไปกว่านั้น หน้าบ้านป้าแพมยังมีทะเลสาบให้เราได้เล่นน้ำในช่วงหน้าร้อน และพายเรือคายัคดูธรรมชาติโดยรอบอีกด้วย เดินไกลออกไปหน่อยก็จะติดกับทะเล มีเพนกวิ้นเดินป้วนเปี้ยนเป็นแถวยาวเลยล่ะ

ด้วยความที่รู้สึกสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ดีงาม คอนเซ็ป ที่พัก และความอบอุ่นของป้าแพม เราจึงขอป้าแพมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่เราจะเดินทางต่อ…

คือก่อนจะขับรถออกจากบ้าน บ๊ะบายกันแล้ว บ๊ะบายกันอีก แต่สุดท้ายก็ต้องลาจากกันครับ นี่จึงเป็นอีกความรู้สึกที่ผมไม่ชอบเวลาท่องเที่ยวเลย เพราะไม่รู้ว่าคนที่เรารู้จักเพียงหนึ่งวัน หรือสองวันในครั้งนั้น เราจะได้เจอกันในชาตินี้อีกไหม นั่นคือความรู้สึกสำหรับผมที่นี่ให้เหตุการณ์ที่เรียกว่าลาจากคนที่พบเจอทุกคนระหว่างการท่องเที่ยว

ระหว่างทาง มีบางจุดที่ไม่อยากให้พลาดก็น่าจะเป็นจุดนี้ Grutta Beach ครับ เพราะมีทั้งร้านอาหาร แล้วก็จุดเดินชมวิวธรรมชาติด้วย มาใช้เวลาที่นี่ ถ้าไม่รีบมาก ผมว่าโอเคเลย

เราใช่เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง ก็มาอยู่ที่ท่าเรือของ Cage Shark Diving ครับ ซึ่งที่นี่ต้องขอบอกว่า เป็นที่ที่ดังที่สุดของเรื่องการดำน้ำในกรงดูฉลามขาว นั่นก็คือเมือง Gansbaai นั่นเอง พอมาถึงท่าเรือแล้วรู้สึกว่าเพลง Rock ในหนัง Hollywood กำลังบรรเลงเลยล่ะ ๕๕๕๕

Tour นี้ผมขอไม่ Specific บริษัทแล้วกันนะครับ เรียกได้ว่า หาใน Google ได้เลย เพราะมีหลายเจ้า แต่แนะนำให้เลือกเจ้าราคาถูกที่สุด เพราะว่าสุดท้ายแล้ว พอเจ้าแพงๆ คนไม่เต็ม เค้าก็จะพยายามดึงคนจากเจ้าถูกๆ มายัดใส่เรือให้เต็ม อะไรประมาณนั้นครับ แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหนึ่ง นั่นก็คืออาจจะไม่ได้ตามเวลาที่เราจอง ประมาณนี้ ซึ่งราคาที่เราได้มาอยู่ที่คนละ 1,450 Zar ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในบรรดาทัวร์ทั้งหมด

เรือออกจากฝั่งได้ราวๆ 15 นาที ก็ดับเครื่องยนต์ครับ ทีมงานคนเซษของก้างและปลาเน่าแซลมอน กวนๆ พร้อมตักน้ำทะเลขึ้นมา แล้วก็โยนไปในน้ำเพื่อล่อฉลาม ส่วนอีกคนก็เอาเชือกมาพันกับหัว ก้างที่ติดเศษเนื้อแซลม่อน โยนลงน้ำแล้วลาก โยนแล้วลาก เพื่อล่อเหยื่อนั้นเอง

ซึ่งไม่นานนัก ใช้คำว่าไม่นานจริงๆ ไอ่หลามแม่งก็มา แล้วคือตอนแรกมาตัวเดียวก่อน แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีช่วงหนึ่งนับได้ทั้งหมดพร้อมกัน 7 ตัว พระเจ้า นี่ถ้ากูตกลงไป กูจะเป็นยังไงวะเนี่ยยยย!!!

เค้าจะทยอยส่งคนลงไปในกรงครั้งละ 6 คนครับ น้ำยังคงหนาวอยู่ และอากาศข้างบนก็หนาวมาก การดำน้ำในกรงกับฉลาม ไม่ต้องใช้ Scuba Tank ครับ คือเน้นกลั้นหายใจใต้น้ำเอา พอไม่ไหวก็ขึ้นมาแค่นั้นเลย จบชุดแรกไป ก็ถึงคราวของพวกเราแล้ว เอาล่ะ ลงไปพร้อมกันเลย

คือต้องบอกเลยว่าเค้าไม่รีบเร่งอะไรทั้งนั้น เอาจนมึงอิ่มอ่ะ หมายถึงดูฉลามอิ่มหรอ หึ แดกน้ำอิ่มอีเหี้ย คือมึงเข้าใจป้ะ มันก็จะมีตอนตกใจ ตอนหายใจไม่ทัน สะอึกน้ำ แดกน้ำไซมอนเน่า เชี่ย คือกูขำสัส มันตลกจริงๆ กลายเป็นว่า ฉลามไม่กลัวนะ กลัวแดกน้ำทะเลผสมไซมอนเน่านี่แหละ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่ผิดคาดมากๆ เออ ชอบว่ะ

เอาล่ะ ระหว่างทางที่เราจะต้องกลับ มันมีจุดหนึ่งที่สามารถดูวาฬได้จากริมฝั่งเลย ในก็คืออ่าวในแถบเมือง De Kelders นั่นเอง ที่รู้เพราะน้องปั้น The walking Backpackers เป็นคนบอกว่า นี่ก็เลยแวะไปดู แต่น่าเสียดายที่ ที่ ที่ แม่งไม่มีสักตัวตอนกูไปเนี่ยแหละ ๕๕๕ อ่ะ ก็ถือว่าได้บรรยากาศอีกฟีลหนึ่งแล้วกัน เดินไปถ่ายเท่ๆ เก๋ๆ เหงาๆ คนเดียวอยู่กลางทุ่ง ๕๕๕๕

เรากำลังจะไปอีกเมืองหนึ่งที่ต้องใช้เวลาขับรถเยอะพอสมควร แต่ระหว่างทางก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำว่า Garden Route มากขึ้น เพราะสองข้างทางหลังจากนี้ หลังจากจบเมือง Gansbaai มันคือทุ่งหญ้า และภูเขา ที่เรียกได้ว่า Tundra ในบางช่วงได้เลยจริงๆ

และสิ่งที่เพื่อนๆ จะเห็นนอกจากสีเขียวที่เต็มถนนแล้ว ก็จะมีแพะ แกะ วัว นกกระจอกเทศ เต็มข้างถนนไปหมด เรียกได้ว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่เพิ่มแก็สมีเทนขึ้นไปทำลายชั้นโอโซนของโลกรองจากนิวซีแลนด์เลยก็ว่าได้ ๕๕๕๕

วันนี้เราเปลี่ยนแพลนกระทันหันครับ จริงๆ เราต้องขึ้นไปทางตอนเหนือเพื่อไปชมความงามของ Cango Cave แต่ก็เปลี่ยนไปเป็นขับเรียบชายฝั่งแทน คืนนี้ เราจะไปพักที่ Swellendam เมืองข้างทางกันครับ ซึ่งการจองก็เหมือนเดิม จองระหว่างทาง เลยไปเจอเกสท์เฮ้าส์อยู่ที่หนึ่งใจกลางเมืองเลย ซึ่งเจ้าของก็น่ารักมากๆ อีกแล้ว แต่เราหิวครับ ขอออกไปหาอาหารทานสักครู่ แล้วก็ไปเจออยู่ร้านหนึ่งที่ยังเปิดอยู่

ต้องขอบอกว่าร้านอาหาร หรือร้านค้าที่นี่ ถ้าอยู่นอกเมืองแล้วจะปิดเร็วมากๆ นี่ขนาดยังไม่ถึง 3 ทุ่มนะ คือเงียบทั้งเมือง โชคดีของเรามากๆ ที่ร้านนี้ยังไม่ปิด ดูจากข้างนอกแล้ว ร้านน่านั่งมากๆ เอาล่ะ เข้าไปข้างใน ไปสั่งอาหารกัน

ร้านนี้ชื่อร้าน De Vagebond คือต้องบอกก่อนว่า แต่ละที่ที่เราไป หรือเราทำ และเรากิน เราไม่รู้ว่าควรไป หรือไม่ควรไปนะ คืออะไรหาได้ก็ไป นอนได้ก็นอน เพราะฉะนั้น ถ้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแบบ Perfect ขอให้ปิดรีวิวเราไปได้เลย เพราะขนาดรูป ยังไม่แต่งสี แถมใส่ Grain ให้ภาพดูเก่าอีกด้วย ซึ่งการทำให้ภาพดูเก่าของผม นั่นหมายความว่า เรื่องมันจบลงไปแล้วแค่นั้นเอง อ่ะนอกเรื่องไปซะงั้น เอาเป็นว่า อะไรที่มันสะดวกเรา เราจะทำ แล้วเราแค่เอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าผ่านเป็นตัวอักษรให้เพื่อนๆ ได้เที่ยวกันในบทความนี้ประมาณนั้น และคืนนี้ ก็สงบลงด้วยการที่กินกุ้งไม่หมดครับ ๕๕๕๕๕

D A Y  05: GAME RESERVE

วันนี้ต้องบอกเลยว่า เป็นอีกวันที่ตื่นเต้นมากๆ เพราะเราจะไปส่งสัตว์กันครับ แต่ก่อนไป จะพามาดูบ้านพักเราก่อน เพราะบ้านพักแห่งนี้ เป็นบ้านพักที่ดีงามสุดๆ ที่นี่คือ Cornfields River Guesthouse ครับ เป็นบ้านของลุงแอนโทนี่ ที่เหมือนว่าภรรยาไม่น่าจะอยู่ด้วยแล้ว ส่วนลูกก็แต่งงานไปอยู่บ้านสามีเรียบร้อย แกเลยเปิดบ้านเป็นเกสท์เฮ้าท์ ทำรายได้ และให้แขกมาพักอาศัยนั่นเอง

ต้องบอกว่าบ้านแกคือดีมากอ่ะ เพราะมีทุกอย่างที่ควรจะมีจริงๆ สระว่ายน้ำก็มีนะเออ ที่สำคัญคือเป็นเมืองทางผ่านที่อยู่ตีนเขา บรรยากาศดีมากๆ เราไปดูภายในตัวบ้าน และห้องนอนของเรากันดีกว่านะ

มื้อเช้า คือเราใช้ครัวของเค้าได้ตามปกติเลยนะ แล้วคือเมื่อวานกุ้งเหลือ เราก็เอามาผัดกับข้าว แล้วก็ยืมไข่ลุงแอนโทนี่มาผัดกับมาม่า ถือเป็นอีกมื้อที่ชอบมากๆ และเป็นอีกวันที่เราปล่อยตัวตามสบายให้นอนตื่นสายมาใช้ของที่บ้าน แล้วก็อยู่ชิลๆ แบบไม่รีบ

พอถึงเวลาเราก็เลยพูดคุยกับลุง และก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ต้องบอกเลยว่าเมืองนี้เป็นเมืองทางผ่านจริงๆ หากใครผ่านไปแถวนั้นแล้วกำลังจะมืดค่ำ Cornfields River Guesthouse ของลุงแอนโทนี่ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผมขอบอกเลยว่าดีงามมากๆ ค่าเสียหายเพียง 1,300 บาทเท่านั้น : )

เอาล่ะ เราเดินหน้ากันไปต่อเลยดีกว่าจากบ้านคุณลุงแอนโทนี่ ระหว่างทางจะมี Wine Testing ชื่อดังด้วยนะ ยังไงลอง Manage เวลาดีๆ ซึ่งสำหรับวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปส่องสัตว์ Big Five ของแอฟริกากันครับ จริงๆ แล้ว Game Reserve ของที่นี่มีหลายที่มาก มีแบบขับรถเอง แล้วก็มีหลายกิจการที่ได้สัมปทานมาทำทัวร์ เราไม่มีสิ่งดึงดูดอื่นใด ที่ทำให้เรามาที่นี่ เพียงแค่ที่แห่งนี้ เป็นทางผ่านของถนนที่ชื่อ Garden Route เท่านั้น

แล้วเพียงราวๆ หนึ่งชั่วโมงไม่ถึงสองชั่วโมง เราก็มาถึงที่ Garden Route Game Reserve อีกอย่างที่เลือกมาที่นี่ เพราะสามารถมาแบบไม่พักได้ คือเป็น Day Trip Visitor อ่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ ในแถบนี้ ถ้าจะ Drive Game Reserve ต้องนอนพักค้างแรม ซึ่งแพงมากกกกก นี่เลยถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดี ที่สำคัญ ราคากันเองที่คนละ 550 Zar มีสองรอบสำหรับ Day Visitor นั่งก็คือรอบ 11 โมงเช้าและรอบ บ่าย 2 ครับผม

เข้าไปลงทะเบียนที่โซน Visitor เค้าก็จะแจกแผนที่ในรูทที่จะขับชมสัตว์มา ที่นีี่มีสัตว์เยอะมากๆ แต่วันนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเลย ไม่รู้ว่าจะได้เห็นตัวไหนบ้าง คือฝนตกอ่ะ ไม่รู้ว่าสัตว์จะออกมาโชว์ตัวให้เราเห็นหรือเปล่า ซึ่งข้างในโซนรับแขก Visitor ดีงามมาก มีห้องอาหาร มีโซนขายของดีๆ และมีฟรีไวไฟ ดีงามสุด

ครั้งนี้เราเลือกรอบบ่ายสองไป ก็เลยสั่งอาหารทานรอ ซึ่งต้องขอบอกว่า พิซซ่าที่นี่ อร่อยมากๆ แต่มากันสองคน ทานไม่หมดครับ ก็เลยห่อเก็บขึ้นรถ และเตรียมไปส่องสัตว์กันหลังจากนี้เลย

จริงๆ แล้วรถจะต้องเป็นรถที่ไม่มีหลังคาปิดนะ นึกภาพออกไหม แต่ช่วงที่เราไปคือไม่ไหวแล้วอ่ะ ลมแรง ฝนตก จู่ๆ จะไม่ตกก็มี เค้าเลยเอารถที่มีหลังคามาให้เรานั่ง อาจจะไม่คูลเท่าไหร่แต่ก็ยอม เพราะไม่อยากเปียก เอาล่ะ ไปส่องสัตว์พร้อมกันเลย

ระหว่างที่สองสัตว์ก็จะมีไกด์ให้คำอธิบายเราตลอดทางครับ ซึ่งเค้าก็จะทำหน้าที่ทั้งขับและเล่าไปพร้อมกัน จุดไหนที่มีสัตว์ที่สามารถขับเข้าไปใกล้ๆ ได้ เค้าก็จะขับเข้าไป แล้วหยุดรถ ส่องมันอย่างเงียบๆ พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับมัน ไกด์บอกว่า ฝนตกแบบนี้ สิงโตชอบ วันนี้ยังไงก็ต้องเห็นแน่นอน

และแล้ว พอขับมาอีกฝั่งหนึ่งแดดก็ออกครับ ต้องบอกเลยว่าที่นี่ใหญ่มากๆ คือถ้าให้ขับเข้ามาเองคือหลง มันเหมือนเป็น Tundra ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งต้องขออธิบายแบบนี้ก่อนว่า การมา Drive Game Reserve ที่นี่ ส่วนใหญ่คือต้องการเห็น Big 5 South Africa นั่นก็คือ สัตว์ตัวใหญ่ทั้ง 5 ชนิด ซึ่งก็จะมี

  • เสือดาว (ตัวนี้หายากมาก คือจะชอบอยู่บนต้นไม้ และมาตอนกลางคืน)
  • สิงโต (ตัวนี้ยากเพราะมันชอบนอน จะตื่นก็เมื่อหิว แต่ไม่ยากมาก)
  • ช้าง (ตัวนี้หาง่ายสุด และเชื่องสุดๆ ด้วย)
  • แรด (ตัวนี้ก็ง่าย)
  • ควายแอฟริกัน (ตัวนี้ก็หาไม่ง่ายไม่ยาก ปานกลาง แต่คือไกด์บอกว่า เป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดใน Big Five เลยล่ะ)

เอาล่ะ เราไปเรื่อยๆ ครับ บางจุดไม่เห็นก็เปลี่ยน จนสุดท้ายไปเห็นสิงโตค้าบบบบบบ เห็นแล้ววววววว แต่ๆๆๆ มันหลับเด้อ มันไม่ตื่น ซึ่งไกด์บอกว่า มันหลับเยอะมาก คือชีวิตนี่จะหลับอย่างเดียว ไม่เหมือนกับยีราฟ ที่หลับแค่ 4 นาที ก็ตื่นแล้ว แต่สิงโตคือวันหนึ่งหลับไปแล้ว 18 ชั่วโมง

เห็นน้องไหม อยู่ไกลๆ ภาพด้านบน แม่งนอนกันอยู่ทั้งตัวผู้ตัวเมียเลย แต่ช่างเค้าครับ จะให้กูเดินลงไปเรียกก็ไม่ใช่อีกล่ะ เอาเป็นว่า เราไปดูสัตว์ตัวอื่นๆ แล้วรีบไปที่อื่นดีกว่า ผมเริ่มเบื่อๆ ที่นี่แล้ว ๕๕๕๕

ด้านล่างเป็นควายแอฟริกันครับ ไม่มองกล้องเลย สงเสียงแค่ไหนก็ไม่มอง และน่าแปลก ว่ามันเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของ Big 5 ได้ยังไง มันคงจะมีอะไรบางอย่างที่เราต้องไปหาอ่านเพิ่มเติมแน่นอน

บอกเลยว่าเซ็งที่นี่นิดหน่อยครับ ถ้าให้แนะนำคืออย่ามาเลย ไปที่อื่นดีกว่า ๕๕๕๕๕ แต่ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ เหมือนเรา ก็มาที่นี่ก็ได้ อาจจะโชคดีกว่าเราครับ สรุปคือ เราเจอ Big 5 แค่ 4 ตัว จริงๆ เจอ 2 เหอะ เพราะควายฯ ไม่หันมามองกล้อง สิงโตหลับ ส่วนเสือดาวแม่งหายไปเลย เห้ออออออ ไปแล้ววววว ไม่รอแล้วววววววว

ซึ่งสถานที่ที่เราจะมาพักกันต่อเป็นแหลมยื่มออกไปในทะเลครับ ถือว่าเป็นอีกเมืองที่เรียกได้ว่า เปลี่ยนแผนเมื่อกี้นี้เลย เพราะตอนแรก ไม่ได้ตั้งใจจะขับมาที่เมืองนี้ แต่ก็นะ…

พอไปถึง Mossel Bay บอกเลยครับว่า นี่คือรูทที่เรียกว่า Garden Route ของจริง เพื่อนๆ จะสังเกตุเห็นรถบ้าน มีที่จอดรถบ้าน และสถานที่ต่างๆ ดูธรรมชาติมากขึ้น บอกเลยว่าสถานที่แห่งนี้อยู่เหนือแผนของเราครับ เราขับไปงงๆ แล้วไปจอดรถอยู่ที่แหลม Cape St Blaize ที่แหลมบรรยากาศดี และมีคมเล่นเซิร์ฟด้วย จริงๆ หากใครที่ชอบ Surf board ผมาว่ามาประเทศนี้คือคงชอบมาก เพราะมีที่ให้เล่นทุกเมืิองเลย

และความบังเอิญมันคืออะไรรู้ป้ะ มันคือสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเมื่อมาถึง Mossel Bay ห่าเอ้ยยยยย กำลังจะหาที่พัก เอาไว้ก่อนแล้วกัน ขอเดินขึ้นไปที่ Cave at Cape St. Blaize และดูวิวบนประภาคารสักหน่อย

ตัวถ้ำแห่งนี้ จะเป็นถ้ำที่บันทึกร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อนครับ ซึงผมเนี่ย ตาไม่ถึง กูหาไม่เจอ สัสเดินสามรอบ ไม่เห็นมีร่องรอยอะไรเลย พยายามหา พยายามอ่านก็ไม่มี ทีนี่เลยเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวเลย ซึ่งระหว่างทางสวยงามากๆ

จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เราเดินขึ้นไป จริงๆ รูทนี้เป็นเส้นทางเดินป่าริมฝั่งที่เรียกว่า St Blaize Hiking Trail จะต้องใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมง ในการเดินจากจุด Start (จุดนี้) ไปยันจุดสุดท้ายอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำแบบนั้น ถ้าเกิดกูทำ ไอ่สัส ใครจะขับไปรับกู แต่หากเพื่อนๆ สนใจ จัดเลยครับ ระยะทางราวๆ 13.5 กิโลเมตรเท่านั้น จอดรถไว้ในโซนรถบ้าน แล้วเดินไปกลับแบบค้างคืนเอาไปเลย ๕๕๕๕

พอเดินลงมาอีกหน่อยก็จเห็น War Memorial รายละเอียดมากกว่านี้ผมไม่รู้แล้ว รู้แต่พียงว่า มันคืออนุสรภ์สถานแค่นั้น คือกูว่าควรพอแล้ว จะมืดค่ำแล้วยังไม่มีที่พักเลย เอาเป็นว่าขอใช้เวลาหาที่พักก่อน…

บอกแล้วครับ เรื่องที่พักง่ายนิดเดียว สุดท้ายก็พักแถวๆ นั้นเลย ที่พักชื่อ Shark Shack Hostel หัวละ 200 Zar ไม่ต้องคิดมาก จอดรถแล้วเดินเข้าไปหา แล้วพักเลย ง่ายดี ซึ่งส่วนตัวคือชอบ ชอบอะไรแนวนี้อยู่แล้ว สังเกตประติมากรรมฝาผนังสิ เรื่องราวเยอะเชียวมึง และหลังจากที่เราคุยกับเจ้าของบ้านอย่างถูกคอ ทั้งเรื่องเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ และอาหารที่จะต้องทานคืนนี้ เราก็ได้บทสรุปที่นี่เลย…

King Fisher เป็นร้านอาหารที่อยู่ตรงที่ที่กูพึ่งไปเดินป่ามาเมื่อกี้เลยอีเหี้ย ขับรถวนไปวนมาอยู่สองที่นี่แหละ เป็นร้านที่ดังมากๆ เรียกได้ว่า มา Mossel Bay แล้วไม่มาทานร้านนี้เหมือนมาไม่ถึง มื้อนี้แบบเบื่อพวกเบอร์เกอร์กับเสต็กมาก เลยจัดซาชิมะ กับซูชิเลย แต่เมนูเด็ดของที่นี่คือ Dish Of The Day ครับ คือไม่บอกราคา และไม่บอกวัตถุดิบ เรียกได้ว่า วันนั้นกูจับอะไรมาได้ กูเสิร์ฟอันนั้นให้มึงแดก ประมาณนั้นเลย

เนี่ยๆ จานข้างบนคือ Dish Of The Day ครับ สรุปเป็น Fish and ship เนื้อปลาเส้น ที่เสิร์ฟพร้อมสลัดและครีมสลัดแบบละมุนละไม อร่อยมากกกกกกก อร่อยแบบจริงๆ ใช้น้ำมันอร่อยทอดวะเนี่ย

เห้ยยย… แต่ของเคียงเบาๆ ก็ต้องแนะนำ บอกเลยว่า Dark beer ตัวนี้ เด็ดมาก เด็ดถึงขนาด ต้องบอกเล่าเก้าสิบ จัดไปหนึ่งขวด ผสมไวน์แดงนิดหน่อย คืนนี้หลับสบายแน่นอน

D A Y  06: FREE DAY TRAVELING

และนี่คือวันที่ Freestyle ของจริงครับ ทุกอย่างคือแพลนใหม่ทั้งหมดโดยใช้เวลาเพียงคืนเดียวในการตัดสินใจ สรุปคือ ช่วงเช้าจะไป Sand boarding ที่ยาวที่สุดใน South Africa จบด้วย Wine Testing แล้วหลังจากนั้น ถ้าเวลาเหลือ อยากไปไหนก็ไป ซึ่งส่วนหลัง เป็นความคิดที่ผิดสัสๆ และการที่ไม่เช็คข้อมูลให้รอบคอบ ก็ทำให้แพลนพังไปถึงวันพรุ่งนี้อีกด้วย เอาล่ะ อย่าพึ่งเครียด ไปดูกันดีกว่า ว่าเราเจออะไรกันบ้าง

และนี่คือที่พักของเราเมื่อคืนครับ Shark Shack Hostel หัวละ 200 Zar ข้างหน้า ข้างๆ มีบาร์ มีคลับด้วยนะ ซึ่งพอตื่นเช้าออกมาถ่ายรูป ต้องบอกว่าคนละอารมณ์กับเมื่อคืนที่เราเจอเลย

และถ้ายังจำพิซซ่าที่ Garden Route Game Reserve ได้ นั่นแหละครับ คือมื้อเช้าของเราในวันนี้ เอามาอุ่น แล้วทานต่อ อร่อยมากๆ เวลาไปเที่ยวจริงๆ แล้วมันไม่ได้ใช้เงินอะไรเยอะแยะเลยนะ นี่ไปกันสองคนก็หารสอง ถ้าไปสี่คนก้หารสี่ ฉะนั้นการเที่ยวจริงๆ แล้วการเลือกเพื่อนที่ไปให้เหมาะสม และจำนวนคนที่ไม่น้อยไปไม่เยอะไป ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ทริปสมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ถ้าไปกับแฟนแบบนี้ ก็จะอีกฟีลหนึ่งเนอะ : )

และหลังจากที่เราถ่ายรูปกับเจ้าของบ้านมาทุกหลังแล้ว ทริปนี้เลยกลายเป็นกิมมิกไปเลยว่าเราจะต้องถ่ายรูปกับเจ้าของบ้านก่อนออกจากบ้าน เอาล่ะ คุณวิลเลี่ยม เรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ก่อนที่เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วในชาตินี้ก็ได้

วันนี้ช่วงเช้าเราจะไปเล่น Sand Boarding กับ Dragon Sand Dune กันครับ ซึ่งที่นี่คือสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นความลับ เค้าจะนัดให้เราเจอกันที่ปั้มน้ำมัน จากนั้นก็ขับรถตามกันไปจนไปสุดทางที่ไม่สามารถขับรถธรรมดาเข้าไปได้ และต้องใช้ 4×4 เข้าไปแทน เรานัดกันตตั้งแต่ 8:30 น. จนมาถึงจุดที่เป็น Surf Camp ใช้เวลาราวๆ 30 นาที

พอไปถึงไกด์มีคนเดียว เลย ทั้งเป็นคนรับแขก รับเรื่อง แจกบอร์ด สอน และดูแลพวกเราทุกคน บอกไว้ก่อนว่าไม่มีอาหารให้ทานหรือน้ำให้กิน ทุกคนต้องเตรียมตัวมาเอง ซึ่งในเว็บไซต์มีบอกไว้อย่างชัดเจน https://www.dragondune.com แต่การจองคือทักไปใน Watsapp และคอนเฟิร์มกันหน้างานง่ายๆ แบบนั้นเลย ไม่มีการเก็บค่าประกันอะไรไว้ก่อนทั้งนั้น ค่าเสียหายคนละ 400 zar

ที่นี่ถือเป็นอีกที่ที่เป็นลานเล่น sand boarding ที่สูงและยาวที่สุดในแอฟริกาใต้ครับ จุดที่สูงและยาวที่สุดชื่อ Dragon Dune มีลักษณะเป็นทรายละเอียด มองเห็นอ่าวทั้งอ่าว มีความสูงที่ 170 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีเส้นทางในการเล่นยาวถึงครึ่งกิโลเมตรจนไปถึงหาดด้านล่าง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูบรรยากาศกันเลย

ที่นี่โคตรดี ด้วยความที่อากาศมันไม่ร้อน มันเลยทำให้ทรายไม่ติดตัวเราครับ คือดีมากๆ นึกภาพตอนไปเล่นที่มุยเน่นะ โหหห…. ทรายแบบติดตัวเต็มไปหมด แต่ที่นี่คือดีมาก และได้เล่นแบบจริงๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปสวยๆ ๕๕๕๕ แต่ก็นั่นแหละครับ อากาศหนาว แต่แดดร้อนนะ บอกไว้ก่อน ครีมกันแดด และแว่นกันแดด จำเป็นสุดๆ

เอาล่ะ ระหว่างทางกลับก็จะเจอกับฟาร์มแกะ ก็ขอออกไปแชะรูปด้วยหน่อย ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปที่ WINE TERSTING กัน ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ประเทศนี้ นอกจากเนื้อที่ดีแล้วเนี่ย ก็มีไวน์นี่แหละ ที่ห้ามพลาด เป็นเมืองแห่งไวน์จริงๆ

การเทสท์ไวน์ของประเทศนี้มีทุกเมืองครับ เพราะพื้นที่เค้าเยอะมากๆ ก็ไม่ได้จะแนะนำว่าต้องไปเทสท์ที่ไหนเป็นพิเศษ เอาเป็นว่า เอาที่มึงสะดวกอ่ะ อย่างของเราสะดวกที่นี่ครับ เพราะอยู่ใกล้เมือง และอยู่หน้าทางเข้าเยื้องๆ กับซอยที่ไปเล่น Sand Boarding ตะกี้เลย นั่นก็คือ Reed Valley Wine Testing นั่นเอง

ลักษณะมันจะเป็นแบบนี้ครับ เข้าไปข้างในเค้าก็จะมีโต๊ะที่วางแก้วเต็มไปหมด ซึ่งจำนวนแก้วจะแปรผันโดยตรงกับจำนวนชนิดของไวน์ที่ที่แห่งนั้นผลิต เค้าก็จะมารินให้เราชิมที่ละแก้ว ที่ละแก้ว พร้อมบอกประวัติความเป็นมาวิธีทำนู่นนี่นั่น ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อกลับนะ แต่หากชอบรสนั้นจริงๆ ขวดนี้จริงๆ ก็สามารถซื้อกลับไปได้

ระหว่างที่เทสน์เวลาเค้ารินให้เราเสร็จแต่ละแก้ว เค้าก็จะให้เวลาเราพูดคุยกันครับ ซึ่งของว่างเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผมคือเฟรนไฟรซ์ แต่ตัวหนึ่งที่ผมอยากแนะนำมากๆ นั่นคือเมนูแรกของร้าน มีราคาชิ้นละ 10 zar ยังไงลองสั่งมากินดูครับ โคตรดี!!!

ซึ่ง Wine Testing ของที่นี่ราคาไม่แรงเลย คนละ 50 zar เท่านั้น คือดื่มไปดื่มมาเมานะ อย่าง set ของเราก็ปาไป 8 แก้วอ่ะ คือขอเตือนเลยว่าให้ทานที่ละนิด เพราะเราต้องขับรถต่อ อย่างผมดื่มไปทุกแก้วแบบหมดแก้ว ก็แย่สิดครับ ต้องนั่งพักให้ตัวเองหายหน้าชาเลยนะ เพราะหากโดนตำรวจจับเรื่องแอลกอฮอล์ที่ต่างประเทศแล้ว ผมว่าไม่คุ้มแน่ๆ เพราะฉะนั้น เผื่อเวลาไว้เลยสำหรับกิจกรรมนี้ ๕๕๕๕

เอาล่ะ หลังจากสร่างเมา เราเข้าไปในตัวเมืองของ Mossel Bay กันเลยดีกว่า ซึ่งวันนี้เป็น Free Day หนิ อยากเที่ยวอะไรก็ไปเลย จริงๆ แล้วหลังจากที่คุยกับวิลเลี่ยม (เจ้าของ Shark Shack Holster) แกก็แนะนำที่เยอะแล้ว แต่ก็มาที่ Travel Information Center สักหน่อย เผื่อจะมีอะไรดีกว่านี้ สรุป หลังจากคุยเสร็จ ที่วิลเลี่ยมแนะนำแม่ง ดีกว่าเยอะ เพราะว่าคนพื้นที่แบบ Local จริงๆ แม่งจะรู้ดีสุด รู้ดีแม้กระทั่งร้านอาหาร สรุปคือ ที่นี่ มีมิวเซียม มีจุดเล่น surf มี sand board มี wine testing มีเยอะครับ เราเลยขอไปเริ่มในที่ที่เราไม่ชอบก่อน นั่นก็คือมิวเซียม

สังเกตุได้เลย ทุกรีวิวของเราแทบจะไม่มีมิวเซียม คือถ้าไปมิวเซียมนั่นหมายความว่าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ อย่างตอนไปอียิปต์ คือไม่เข้ามิวเซียมเลย ไปที่อื่น (review อียิปต์: https://www.palapilii.com/archives/10559 ) และก็เช่นเดียวกันกับครั้งนี้ พอเดินไปถึงหน้านมิวเซียม (รูปด้านบน) ขี้เกียจเข้าครับ เดินกลับแม่งเลย ๕๕๕ เพราะฉะนั้นเข้าอยากเข้าไปดูในมิวเซียนที่ Mossel Bay ที่มีถึง 11 จุด ก็จัดการกันเองเลยเนอะ เราไปหาของกินก่อน

เดินลงมานิดหน่อย ไม่ใช่สิ ขับรถเลยแล้วกันขี้เกียจเดิม จากที่วิลเลี่ยมพูด ก็จะมี Oyster Bar นี่แหละ ที่น่าลอง ร้านอยู่ติดแผ่นดินที่ยื่นออกไปจากทะเลเลย เป็น Bar หอยชิคๆ ที่บรรยากาศดีสุดๆ

ภายในร้านตกแต่งง่ายมากๆ แต่ดูบรรยากาศแล้วยั่งกับอยู่ Santorini ถามว่าเคยไปไหม บอกเลยว่าหม้ายยยยยยยยยยย เพราะแดดร้อนมากอีเหี้ย คือเที่ยวมาจนจะจบทริปแล้ว ก็พึ่งมาวันนี้นี่แหละ ที่แดดสดใสตั้งแต่เช้า ขอบคุณมึงมาก ท้องฟ้า

คัยกันว่าจะสั่งอะไรเบาๆ มาทานกันเล่นๆ เพราะกะจะไปหาของกินอีกคาเฟ่หนึ่งที่วิลเลี่ยมแนะนำ สรุปได้มาสองเมนู นั่นก็คือ Oyster set กับ Sushi Set อร่อยดี นี่ถ้าไม่ติดว่าพึ่งดื่มไวน์มานะ บรรยากาศแบบนี้จะจัดเบียร์สักแก้ว แต่ก็ไม่ได้ คนขับรถมีคนเดียว คือกูนี่งายยยยยย แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

เสร็จจาก Oyster Bar บอกเลยว่ายังไหวอยู่ เราไปที่ Blue Cafe กันต่อครับ ซึ่ง Blue Cafe ถ้าให้พูดง่ายๆ คืออยู่หลัง Shark Shack Hostel เลย นี่ดูเหมือนกูขายของเยอะเนอะ แต่เปล่าเลย มึงไปพักเหอะ สะดวกจริงๆ ใกล้ทุกสิ่งอย่างในเมืองนี้ ส่วน Blue Cafe นั่น ก็จะเป็น Cafe สีฟ้าชิคๆ ที่ตกแต่งจากเศษซากทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ พัดลมที่ท้ิงแล้ว เศษไม้ และอื่นๆ ที่นำมาประดิษฐ์เป็นของที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ มีอยู่อย่างเดียวที่ยังสดใหม่ นั่นคือคนข้างๆ เดี๋ยววววว ไม่ใช่!!! นั่นคืออาหารและเครื่องดื่มที่เราจะลองสั่งมาทานนี่แหละครับ ไปดูบรรยากาศร้านกัน

เราสั่ง Chocolate Milk Shake กับ Brownie มาทานครับ จะบอกว่า Brownie อร่อยมาก แต่ Milk Shake เลี่ยนไปหน่อย คือผมว่าที่นี่โอเคเลยนะ วิวดีด้วย อาหารไม่ได้แพง บวกกับมาดู Design และศิลปะในร้าน โอเคเลยทีเดียว

 

เนี่ย ดูสิ เอารถเก่ามาทำเป็นโต๊ะ มึงบ้าป้ะ แต่ก็นั่นแหละครับ วันนี้ของเราใน Mossel Bay เหมือนจะจบลงไปอย่างราบรื่น แต่เปล่าเลย เราดูวันและสถานที่ผิดไปหมด เพราะจริงๆ แล้ว หลังจากที่เราเล่น Sand Boarding เสร็จ เราควรไป Oyster Boat Cruise ครับ เป็นการนั่งเรือทัวร์กิน Oyster ที่ Knysna ในช่วงเวลาบ่ายสาม ซึ่งมีแค่เวลาเดียวต่อวัน คือถ้าเราวางแผนถูกตั้งแต่แรก เอา Wine Testing ไปไว้ช่วงก่อน Game Reserve เมื่อวาน แล้วไม่ถะเลไถลอยู่ในเมือง ขับไปที่ Knysna เลย เราก็คงจะเก็บโปรแกรม Oyster Boat Cruise อีกตัวหนึ่งแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ มันผิดที่ชะล่าใจ ไม่วางแผนมาให้ดีเอง แต่ถ้ามองในอีกแง่ มันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรแปลกใหม่ไปจากเดิมของทริปนี้ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่วาจะเป็นกิจกรรมในช่วงบ่าย หรือการขับรถชมพระอาทิตย์ตกจนเห็นดวงจันทร์ระหว่างที่ไป Knysna แบบนี้

เป็นดวงจันทร์ที่อบอุ่นมาก เรามาถึง Knysna ภายใน 2 ชั่วโมงครับ ดวงจันทร์กำลังดีเลย วันนี้อากาศดีต้อนรับเราจริงๆ ซึ่งระหว่างที่จอดรถ เรางงครับ ว่าเราจะเอายังไงต่อ เพราะทริปมันมั่วไปหมดแล้วตอนนี้ เลยจอดรถตั้งหลักดูดวงจันทร์ และหาที่พัก รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมทานอาหารในช่วงค่ำคืนนี้ด้วย

สุดท้ายแล้วก็ได้ตรงนี้ครับ Knysna Waterfront เป็นโซนคล้ายๆ กับ V.W waterfront หรือเรียกแบบเข้าใจง่ายๆ เลยคือ เอเชียทีค บ้านเราอ่ะ เข้าไปดูบรรยากาศข้างในกันดีกว่า

ภายในเป็นร้านอาหารชื่อดังเต็มไปหมด มีร้านขายของฝาก มีเรือยอร์ช เรือใบ ให้ได้เทคทริปออกไปกัน คือผมว่า มาตอนกลางคืนก็สวย มาตอนกลางวันก็ดี เราเดินเล่นกัน กดตุ๊กตาคีบ และได้แหวนมาใส่ในมือหลังจากที่ไม่ได้ใส่มานานมากแล้วเป็น 10 ปีวงหนึ่ง ซึ่งขณะที่พิมพ์อยู่ ผมใส่มันอยู่แน่นอนเลยใช่ไหม เปล่าครับ กูจำไม่ได้ว่าตอนนี้ถอดไว้ที่ไหนในห้อง ซึ่ง ” ห้องกูรกด้วย ” ๕๕๕๕๕

สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม เราเพียงแค่มาเดินเล่น และคุยกันว่า เดี๋ยวกลับไปกินมาม่าและโจ๊กที่แพ็คมาจากไทยดีกว่า เพราะตอนนี้ เอียนสุดๆ กับพวก อาหารทะเล เบอร์เกอร์ และเสต็ก ให้ตายเถอะ ทำไมไม่มีต้มโคล้ง ขนมจีน ผัดไทย กระเพราะหมูสับไข่ดาวเหมือนบ้านกูนะ เห้ออออออ

คืนนี้พี่พักเรานอนอยู่บนเขาครับ ชื่อ Aggel Accom Guest ซึ่งการจะเข้าออกที่นี่ต้องโทรหาเจ้าของบ้านนะ นี่ขอย้ำอีกครั้งว่าโทรศัพท์กับประเทศนี้จำเป็นมากๆ นี่ก็งมอยู่นานว่าจะเข้าประตูยังๆ คือมันจะเป็นประตูอัตโนมัติก่อนขึ้นเขาครับ ซึ่งแต่ละบ้านก็จะมีรหัสเข้าบ้าน อะไรประมาณนั้น แต่ก็ช่างมันครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ ตัวบ้านน่าอยู่มาก วันนี้ก็เหนื่อยมากเช่นกัน ขอนอนก่อนครับ ฝันดี

D A Y  07: GO AND BACK

ฟังดูชื่อวันแล้วดูงงๆ ใช่ไหม ไปแล้วเสือกกลับมาทำไม เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ ไปทำความรู้จักกับลุงรอบเบ้น ภรรยา รวมถึงบ้านแห่งนี้กันก่อนดีกว่า ว่าน่าอยู่ขนาดไหน

บ้านหลังนี้ เป็นบ้านของลุงร้อบเบ้นกับภรรยา ซึ่งลูกๆ ก็แต่งงานและออกจากบ้านไปเรียบร้อย ก็เหมือนกับทุกรายที่เราไปพักมาครับ เค้าเลยเปิดบ้านให้แขกมาพัก หรือนักท่องเที่ยวมาค้างแรมนั้นเอง อยู่กันสองคน บ้านใหญ่มาก อยู่บนเขา ถ้ามองอีกฝั่งจะมีสระว่ายน้ำด้วย ซึ่งก็คุยกับลุงกันพอหอมปากหอมคอ ลุงก็แนะนำให้ไปทานอาหารเช้าที่ The Head ครับ ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งของเมือง Knysna คิดว่าเพื่อนๆ น่าจะอยากเห็นหน้าลุงกันแล้ว นี่เลย ลุงน่ารักมาก

กลายเป็นธรรมเนียมที่ก่อนกลับต้องถ่ายรูปกับเจ้าของบ้านไปแล้วครับทริปนี้ ก็นั่นแหละครับ ชีวิต กับการท่องเที่ยว มันแยกไม่ออกจากกันเลยจริงๆ และการท่องเที่ยวในบางทริป ก็เหมือนกับว่าเราอ่านหนังสือหลายเรื่องจบไปเป็นสิบๆ เล่มพร้อมกับประสบการณ์จริงอีกด้วย วิชานี้ไม่มีสอนที่ไหน ถ้าอยากเรียนก ต้องเริ่มต้องแต่ก้าวออกมาจากบ้านครับ

ขับรถออกไปจนถึง The Head และเราก็ไปเจอร้านที่ลุงแนะนำจนได้ ไม่คิดว่าช่วง 8 โมงเช้าคนจะเยอะขนาดนี้ ร้านนี้คือ East Cafe ครับ เป็นร้านอาหารที่อยู่ในแหลมของ The Head คือ Location เค้าดีมากจริงๆ มีทั้งโซนด้านนอกและด้านใน อาหารจะถูกจัดแจงไว้อย่างดีเป็นเมนูว่าช่วงไหน สั่งอะไรได้บ้าง คือไม่สามารถสั่งอาหารจานหนักมาทานช่วงเช้าได้ อะไรประมาณนั้น เพราะเค้าจะเตรียมวัตถุดิบแบบสดจริงๆ

เราเลยสั่งตัว Signature ของร้านมาทาน และต้องขอบอกว่าให้ 10/10 ในคำแรกที่ทานครับ และหลังจากนั้นคะแนนจะลงเรื่อยๆ เพราะความเลี่ยนของซอส ความัน และอื่นๆ ที่มันไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่ แต่หากใครเป็นสายอาหารแนวนี้อยู่แล้ว ผมว่าอาจจะถูกปากไม่มากก็น้อย เอาล่ะ เราใช้เวลาที่นี่เยอะเกินไปแล้ว เดี๋ยวมีอีก 2 กิจกรรมใหญ่ๆ ที่เราต้องไปทำ รีบเลย!!!!

ขับรถออกจาก The Head ของ Knysna ไม่นาน สภาพภูมิประเทศก็เริ่มเปลี่ยนไปยังกับอยู่แคนนาดาครับ ป่าสนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มเป็นหุบเขาสูง และมีภูเขาลูกโตตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และไม่นานนัก เราก็มาถึงสะพานแห่งนี้ ที่เคยลง Guinness Book เมื่อปี 2003 ว่าเป็นสะพานที่มีจุดปล่อย Bugny Jump ที่สูงที่สุดในโลกด้วย

เอาเป็นว่าขับเข้าไปข้างในกันเลยดีกว่า ที่นี่เหมาะสำหรับคนชอบเสียวครับ มีสะพานอยู่จุดหนึ่งใน Garden Route ที่มี Bungy Jump ที่สูงที่สุดในโลก ที่หย่อนตัวลงจากสะพาน มีความสูงถึง 216 เมตร จนถึงผิวน้ำด้านล่างของแม่น้ำ Bloukrans River ที่นี่เปิดตลอดทั้งปี และทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ

ซึ่งหลายคนคงสงสัยว่า จะเดินไปจุดปล่อยตัวยังไง เพราะบนถนน ไม่มีฟุตบทให้เดิน และไม่มีบันไดให้ไต่ลงไป บอกเลยว่าที่นี่คือ One Stop Service สำหรับคนชอบความสูง เพราะการเดินทางไปยังจุดปล่อยตัว Bungy นั่น คือการ Zip line จากอีกฝั่งของภูเขาไปตรงกลางสะพานนั่นเอง

ขอบอกเลยว่า พวกเราไม่รอช้าครับ… รีบไปซื้อตั๋วเล่น ไม่ครับ กูขอบายก่อนเลย ทริปนี้ไม่ได้เตรียมใจมาเล่นอะไรกับอากาศทั้งนั้น จะมาอยู่บนพื้นและลงไปใต้น้ำอย่างเดียว ซึ่งกูก็ขวัญเสียไปตั้งแต่ที่กูเกือบตายในวันที่สองของทริปแล้ว ทริปนี้เลยปล่อยผ่าน และไปดูวัยรุ่นหนุ่มสาวเค้าเล่นกัน ไว้ทริปหน้า ค่อยว่ากันใหม่ ค่าเสียหายของ Bloukrans Bungy แห่งนี้อยู่ที่คนละ 1,350 zar เท่านั้นครับ ถูกว่าที่ New Zealand เยอะ (review นิวซีแลนด์: https://www.palapilii.com/archives/2878 )

โอ้ยยยย พอๆๆๆ ไปที่อื่นกันต่อ เห็นแล้วจะแตก //เสียว ตึ่งโป๊ะ อ่ะ ขับไปต่อที่ถนน N2 ไปทาง Port Elizabeth ไม่นานนัก เราก็เห็นป้ายของ Tsitsikamma National Park ชื่อดัง ที่เรียกได้ว่า ใครมาทริปในโซน Garden Route ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเลยทีเดียว

ค่าอุทยานของประเทศนี้บอกเลยว่าแพงมากครับ แต่ประเทสจีนแม่งแพงกว่า ครั้งนี้เราเสียค่าอุทยานแบบ Day Trip รวมเบ็ดเสร็จที่ 256 zar ต่อคนซึ่งก็ถือว่าราคาสูงพอสมควร จริงๆ ในอุทยานแห่งนี้ มันต้องมานอนค้าง มาทำกิจกรรมพักแรม เดินป่า อยู่กับธรรมชาติครับ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อพักแบบนั้น เต้นท์ หรือการจองที่พักอุทยานอะไรก็ไม่ได้เตรียมมา การมาที่นี่ของเรา มาเพื่อสิ่งนี้ครับ มาดูสะพานแขวน ในตัวอุทยานกัน ที่แขวนไว้ระหว่างเหวอีกฝั่ง ไปยังอีกฝั่งบนแม่น้ำ Storms River Mouth

เอาจริงๆ ในนี้มีกิจกรรม Day Trip ค่อนข้างเยอะ แต่เราก็เลือกทำตามเวลาที่เรามีครับ หลักๆ จะเป็น Trekking ไปยัง สะพานแขวน และ Kayaking & Lio กลางแม่น้ำ Storm river mouth ครับผม แต่คืออย่างที่บอก กูแห้งมาขนาดนี้แล้ว กูไม่อยากเปียกครับ ขอเดินป่าสบายๆ หน่อยแล้วกัน แม้ว่าทางที่จะต้องไปพาย Kayaking & Lio จะเป็นทางเดียวกันเลยก็เถอะ

ทางเข้าจุดเดินป่ามีตัวนี้เยอะมาก มันมานอนอาบแดดกัน ไม่ได้ตายนะ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่น่ารักดี

เห็นเค้านอนอาบแดดก็อยากจะไปนอนทับจริงๆ ขาวววว มาก หาดทรายข๊าววว ขาว คือชอบคนที่นี่จัง มึงชิลดีเนอะ พอแดดออก ก็แอบแดดกันเลย แต่บรรยากาศมันดีจริงครับ นี่ยังคิดอยู่เลย ถ้ากลับมาอีกครั้ง อยากบินมาลงที่ Mossel Bay แล้วเช่ารถบ้านขับไปเลยสัก 7 วันแบบเก็บทุกที่ และเก็บแบบทุกกิจกรรมที่สามารถทำได้ เอาล่ะ เลิกพร่าม และเดินต่อไปได้แล้ว

หลายคนถามว่า มาประเทศนี้ใช้ Drone ได้ด้วยหรอ ตอบเลยว่าได้ครับ ในที่ที่ไม่มีป้ายเตือน หรือหากไม่มั่นใจ ก็สามารถถามเจ้าหน้าที่หรือคนในพื้นที่นั้นได้ เพื่อการปล่อยโดรนของเราจะได้ไม่ระแวง ใครมีโดรนจะรู้ดี เพราะทุกครั้งที่เราแอบปล่อยแบบผิดๆ เราจะไม่ค่อยกล้าบินสักเท่าไหร่ แต่แบบมีป้ายชัดเจน ก็ชัดเจนครับ ปล่อยไม่ได้ ก็คือไม่ปล่อย และถึกแอบปล่อยไว้ ก็เอามาให้ดูไม่ได้

เส้นทางเดินป่าไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ ไปกลับ 2 กิโลเมตรเท่านั้น ทำบันไดให้เดินสบายอีกด้วย และอย่างที่บอกครับ ว่า Kayaking & Lio กับทางเดินมาสะพานแขวน เป็นทางเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราจะเห็นทางแยกที่ลงไปสะพานแขวน และกิจกรรม Kayaking ด้วยความที่เป็นนักรีวิว เราจึงไม่พลาดที่จะเอาข้อมูลและภาพตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ดูอารมณ์พรางๆ ว่าถ้าเกิดเราเล่นกิจกรรมนี้ บรรยากาศจะเป็นประมาณไหน

ใช่ครับ บรรยากาศโคตรฟินเลย แต่ก็อย่าลืมว่าน้ำก็เย็นที่อุณหภูมิ 10 ต้นๆ องศาเซลเซียสเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็มาให้ถูกช่วงแล้วกัน ค่าเสียหายของกิจกรรมนี้คือ 600 zar ต่อคน มีค่าเช่า suite ลงน้ำกันหนาว และรองเท้าบูทสำหรับไต่หินที่แยกออกไป ยังไงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Kayak & Lilo ได้เลย

เอาล่ะ เรามาทางแยกอีกทางของเราดีกว่า มาดูสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ว่าเราจะมากัน Suspension Bridge หรือสะพานแขวนแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อ 1969 ซ่อนครั้งแรก 1996 และซ่อมอีกรอบเมื่อปี 2006 ยาว 77 เมตร สูง 9 เมตร จุดคนได้ทั้งหมด ราว 2,250 กิโลกรัม เอาเป็นว่า ขับรถกระบะข้ามสะพาน สะพานก็ไม่พังครับ

ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่หากมีเวลาเหลือเยอะๆ ควรมา เพราะเรานำเสนอเพียงแค่สองกิจกรรมเท่านั้น เพื่อนๆ สามารถมาทำกิจกรรมธรรมชาติที่นี่ได้อีกเพียงเลย เล่ามาถึงตรงนี้แล้วเมื่อยเนอะ ถ้ายังมีคนอ่านอยู่ เราโคตรดีใจเลย เพราะเนื้อเรืองมันยาวมาก เอาล่ะ เสร็จจากตรงนี้ เราจะขับไปต่อกัน คืนนี้ เราจองที่พักที่ Located อยู่ใจกลางเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ฯ ไว้

และนี่คือเหตุผลของชื่อวันที่ 7 ว่า GO AND BACK ครับ เพราะกูดูแผนที่ผิด แคมป์ที่เราจะต้องไปพักคืนนี้ ดันอยู่ติดกับเมือง Knysna เลย นั่นหมายความว่า เราต้องขับย้อนกลับไปกว่า 60 กิโลเมตร แบบเสียเวลาเปล่าไปเฉยๆ เลย แทนที่จะขับเพิ่ม 60 กิโลเมตรไปข้างหน้าเริื่อยๆ ดันต้องขับกลับไปอีก 60 กิโลเมตร เท่ากับว่า ทริปนี้ที่ขับรถกว่า 1,300 กิโลเมตรทั้งทริป ขับรถเล่นไป 120 กิโลเมตรครับผม

อ่ะ ก็จองแล้วเนอะ จะให้ทำยังไง ประเด็นคือสำหรับคืนนี้ เป็นการยอมจ่ายค่าที่พักที่แพงที่สุดของพวกเราด้วย นั่นก็คือ หัวละ 800 zar หรือราวๆ 1,800 บาทต่อคนเลยทีเดียว ทางเข้านี่คือต้องบอกว่า กูเชื่อแล้วล่ะ ว่าบ้านมึงจะมีสัตว์ป่าจริงๆ คือทางขรุขระมาก แล้วคือพอไปถึงหน้าบ้าน ต้องโทรหาเจ้าของบ้าน เพื่อเอารหัสเปิดรั้วบ้านด้วยนะ และครั้งนี้จะย้ำอีกครั้งว่า โทรศัพท์ที่โทรเข้าออกได้ ไม่ใช่แค่เล่น internet จำเป็นกับประเทศนี้จริงๆ

หลังจากขับเข้ามาในโซนที่พัก กูเห็นสัตว์เต็มไปหมดเลยครับ คือมันเยอะจริงๆ เยอะแบบเยอะมากกกกก อ่ะ ถ่ายม้าลายให้ดูก่อนชนิดหนึ่งแล้วกัน ไว้เดี๋ยวค่อยมาดูตอนเช้าอีกที เหตุผลที่เราพักที่นี่ ก็เพราะว่า ตัวบ้านของมันนั้น อยู่กลางทุ่งหญ้าและตีนเขาที่สัตว์ป่าชอบอยู่เลย ประมาณนี้ พอไปถึงเจ้าของบ้านไม่ได้ลงมารับนะ แต่เป็นหมา ที่ลงมารับเราจาก Reception ๕๕๕๕

ตัวบ้านมีอยู๋ประมาณ 4 ประเภทครับ เพื่อนๆ สามารถดูได้ที่เว็บ http://www.giraffeview.co.za/  ซึ่งทุกบ้าน ราคาเท่ากันหมด คือจะคิดเป็นหัว เราแอบทักแชทไปหาเจ้าของ ว่าบ้านไหนใกล้ชิดสัตว์ป่ามากที่สุด เค้าก็บอกว่าบ้านนี้ครับ Impala Cottage นั่นเอง เค้าก็พาเราเดินดูบ้านแล้วก็แนะนำนู่นนี่ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้มานอนในที่แบบนี้จริงๆ ที่นี่ไม่มีอหารให้นะครับ ฉะนั้น จะมาแนะนำให้หากับข้าวมาทำเอง เพราะที่พักใหญ่มาก แบบเว่อร์วังอลังการ ที่สำคัญเป็นกระจกใสแบบ 270 องศา สามารถมองเห็นสัตว์ป่าได้ตลอดเวลา ยกเว้นตอนกลางคืน

เอาล่ะ เรารีบออกไปทานข้าวกันดีกว่า วันนี้มีร้านแนะนำ ใช่ครับ ถือว่าเป็นร้านที่เราแนะนำเลย เพราะเป็นร้านที่วิวดี อาหารอร่อย ทุกอย่างแบบ 10/10 เลย แนะนำโดยคุณ Vikki เจ้าของบ้านนี่แหละ ขับออกไปจาก Camp ของเราประมาณ 15 นาทีเท่านั้น

 

ร้านชื่อ Emily Moon Rive Restaurant ครับ เป็นร้านที่อยู่บนเขาเล็กๆ ติดกับแม่น้ำมูล จังหวัดอุบรราชธา…ถุย!!! ไอ่สัส ไม่ใช่โว้ยยยย นี่มันแอฟริกาใต้ พากูไปอีสานใต้ทำไม ก็นั่นแหละครับ เอาเป็นว่า ร้านมีวิวภูเขา แม่น้ำ เพลงเบาๆ ไวน์ข้นๆ อาหารสดๆ กับคนน่ารักๆ ที่อยู่ตรงหน้า อารมณ์ประมาณนี้ ซึ่งก็มีทั้งโซนด้านใน และด้านนอก เลือกเลย

ตอนแรกก็นั่งข้างนอกกันคูลๆ ครับ แต่แม่งคูลจริงครับ เย็นสัส ตอนเย็นคือต่ำกว่า 10 องศาบริเวณนั้น เรียกได้ว่า ย้ายกลับเข้าไปนั่งข้างในเกือบไม่ทัน ร้านนี้แนะนำให้จองโต๊ะก่อนไปนะครับ คืออาจเต็มได้เลย พูดจริงๆ คนเยอะมาก จองที่เว็บนี้เลยนะ https://www.emilymoon.co.za/dining-at-emilys/ มื้อนี้เราสั่ง Beef Fillet ชั้นดีทานเคียงกับ Red Wine และสั่งตัว Special Menu เป็นกุ้งผัดซอส Terri Terri เทียบเคียง บอกได้เลยว่า หมดทุกอย่าง เพราะอร่อยมาก อร่อยแม้แต่ขนมบัง Starter ที่เป็น Home made คือเคี้ยวเข้าไปแล้วหวานนนนนน มากๆ ติดใจเลยอ่ะ

ต้องบอกแบบนี้ก่อนเลยว่า ขอโทษที่ไม่ได้ถ่าย Beef Fillet ให้ดูเพราะทานหมด ลืมถ่าย แต่เอาเป็นว่ายังคงการันตีความดีงามของร้านอาหารที่ทานมาตลอดทั้งทริปว่า ร้านนี้ที่ชื่อ Emily Moon River นั้น ดีเว่อร์ เอาล่ะ กลับบ้านเรากันเถอะ เมื่อกี้ตอนเห็นภาพบ้านเราคืนนี้ข้างนอก คงยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันกว้างใหญ่ขนาดไหนใช่ไหม งั้นเข้ามาดูข้างในกันเลยเหอะ

ที่นอนคืนนี้ของเราบอกไว้เลยว่า Capacity จุได้ถึง 9 คน มีห้องรับแขก มีห้องครัว ที่เตียงรองรับ มีห้องน้ำในตัว แต่ถามถึงความสะอาด ขอให้ไม่เต็ม 10 นะ เพราะไม่โอเคเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจ เพราะมันไม่มีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ที่มันอำนวยอ่ะเนอะ ก็เล่นไปตั้งบ้านอยู่กลางป่าขนาดนั้น พวกน้ำร้อน ก็ต้องใช้เตาแก๊สมาอุ่นให้ร้อน ไหนจะ Heater ที่เอาแบบ Portable Heater มาใช้อีก เรียกได้ว่า กันดารระดับสองเลย แต่ไม่เป็นไร เราโอเคจริงๆ

ที่นี่ตอนกลางคืนหนาวนะ ราวๆ 10 องศาหรือต่ำกว่า เพราะนอนแทบไม่ได้เลย หนาวมาก เราอยากถ่ายทางช้างเผือกมาก แต่โชคร้ายที่ดวงจันทร์สว่างเหลือเกิน ทริปนี้เลยไม่ได้เห็นทางช้างเผือกกลางเขาอย่างที่ตั้งใจ แต่ก็ไม่เป็นไร การขับรถย้อนกลับมาพักที่นี่ ก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันหนิ สวัสดี

D A Y  08: REAL SAFARI

และนี่แหละ คือของจริง สิ่งที่ไม่ต้องไปขับรถเพื่อเห็นสัตว์หรือส่องสัตว์ที่ไหนเลย เรียกได้ว่า  ตื่นมา ก็มีสัตว์เดินป้วนเปี้ยนเต็มลานบ้านแล้วครับ บางตัวเข้ามาใกล้ถึงหน้าประตูด้วย

มองออกไปด้านนอกในช่วงที่แดดกำลังโผล่จากยอดเขา สัตว์ป่าทั้งหลายกำลังออกหากินตามธรรมชาติของมัน กฏข้อสำคัญมีข้อเดียวคือ อย่าเดินเข้าไปใกล้ เพราะยิ่งเราเดินเข้าไปใกล้ มันยิ่งหนีไป และบางชนิดมันอาจเข้ามาทำร้ายเรา เราชงกาแฟ ต้มมาม่าที่เหลือไว้เป็นเสบียงที่เกือบหมด มานั่นดูพวกมันเล็มหญ้ากินอยู่หน้าบ้าน จริงๆ ก็ไม่ต้องเดินทางไปไหนเลยก็ได้นี่หว่า นั่งดูพวกมันแกล้งกันก็มีความสุขแล้ว

แต่ที่นี่ จะมีพวกขาจร Day Trip Visitor มาเดินทัวร์ Safari กับป้า Vikki ทุกเช้าครับ ป้าก็ถามว่าเราจะจอยด้วยไหม ถ้าอยากเดินด้วยต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 200 zar โถววว กูก็นึกว่าจะชวนฟรี ที่ไหนได้ จะเก็บตังค์กูเพิ่ม อ่ะๆๆๆ เอาหน่อยแล้วกัน ก็ที่บ้านกูไม่มีแบบนี้อ่ะเนอะ และนี่คือบรรยากาศของการเดินเล่นรอบพื้นที่เขตุอนุรักษ์พันธุ์สัตว์เล็กๆ ของป้า Vikki ครับ

 

เนี่ย เห็นบ้านที่เราพักไหม คือตรงนั้นเลย ตรงที่สัตว์มันยืนๆ กันอยู่อ่ะ คือพอเราไม่อยู่ในบ้าน แล้วมาอีกฝั่งหนึ่ง มันก็จะหนีเราไปเป็นฝูงเพื่อไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง อะไรแบบนั้น ใครสนใจก็ไปพักได้นะสักคืนกำลังดีเลย

 

คือใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงครับ เดินกลับมาอีกทีเจอม้าบุกบ้านแล้วครบ นางน่ารักกกก นางมีด้วยกัน 4 ตัว และคือขี้อ้อนมากกกก วิ่งมาหาให้ลูบหัว แต่บางตัวก็ดื้อ ดื้อแบบจะตามเข้าบ้านเลยล่ะ

คือเดินวนมาถึงบ้านเราแล้ว ป้า Vikki ถามว่าจะเดินต่ออีกไหม เพราะ Route แรก เป็น Route 3 km. แต่ยังมี Route 8 km. ที่ต้องเดินข้ามเขาไป เราบอกว่า แค่นี้ก็พอแล้ว เราโอเคแล้ว ขออยู่เคลียของเก็บของดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เช้า เราต้องบินกลับไทย ก่อนกลับเลยขอบคุณป้า Vikki และก็ชักภาพร่วมเฟรมกันสักหนึ่งใบ เดี๋ยวทำรีวิวเสร็จ ก็คงจะส่งรีวิวให้แกอ่านแหละ เผื่อแกรู้ว่าแอบด่าแกอยู่ จะขี้งกไปไหน อุส่าต์มาพักที่บ้านเด้อ ๕๕๕๕๕๕ //ล้อเล่นนะป้า

อ่ะ เก็บของ เคลียรถ เตรียมตัวกลับบ้านเรากันเถอะ ไม่น่าเชื่อนะ แป็บเดียวก็จะกลับบ้านแล้ว ซึ่งตอนเก็บของเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด เพราะทุกอย่างมันกระจัดกระจายไปหมด ต้องมานั่งยัดใส่ใหม่ทั้งหมด ก็ทยอยเก็บกันไปพอคร่าวๆ เมื่อถึงเวลา เราก็เดินทางต่อไปยังเมืองสุดท้ายที่จะส่งรถและปิดทริปนี้ของเรา

จาก Giraffe View Safari Camp ไปยัง Port Elizabeth ขอบอกเลยว่ายาวไกลอยู่พอประมาณ อาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ ซึ่งระหว่างทางบอกเลยว่าแทบไม่มีที่เที่ยว และจากที่สังเกตุจะมีกังหันลมผลิตไฟฟ้าระหว่างทางใหญ่ๆ อยู่มากถึง 2 จุดด้วยกัน

และก็เช่นเดิมครับ ระหว่างทางเราก็หาที่พักไว้เรียบร้อย และที่สำคัญคืนนี้ต้องใกล้สนามบิน และมี Shuttle Bus ด้วย ซึ่งสุดท้าย ไม่มี Shuttle Bus ครับ แต่เราก็โอเค ที่พักคืนสุดท้ายของเราในทริปนี้คือ Aberdour Guesthouse ที่พักราคาคืนละ 1,300 บาท ที่มีสระว่ายน้ำ กระต่าย และห้องพักแบบดีงามสุดๆ

เรื่องราวของบ้านนี้ก็เหมือนกับทุกบ้านที่เราไปพักครับ คือลูกไปเรียนที่อื่นหมด เหลือแต่เจ้าของบ้านที่อาศัยอยู่ ซึ่งในเคสนี้คือคุณลุง Neil แต่วันที่เราไปแกไม่อยู่ แกให้คนอื่นมาเฝ้าบ้านแทน ไปดูภายในห้องพักกันดีกว่า ก่อนที่เราจะไปหาอะไรทานที่อื่น

ที่พักมีของอำนวยความสะดวกดีๆ ทั้งหมดครับ ไม่ต้องห่วงเลย แต่สุดท้าย คุยกับคนเฝ้าบ้านแทน บอกว่าไม่มี Shuttle Bus นั่นแหละครับ แต่เค้าจะหารถคนรู้จักให้ในราคาไปส่งสนามบิน 80 zar ซึ่งสำหรับเราเราว่าแพงมาก กับการที่บ้านอยู่ห่างสนามบินแค่ 2.2 กิโลเมตร คืออีป้าจะเก็บค่าหัวคิวหรือยังไง นี่กด Uber ได้ราคาแค่ 30 zar เอง สรุปเลยคุยกันว่า ไปตายเอาดาบหน้าที่สนามบินหลังส่งรถดีกว่า แล้วจากนั้นก็ค่อยเรียก Uber เช็คราคาอีกที

ช่วงที่เราไปที่นี่มีงานพอดีครับ รถเลยติด มันจะเป็นโซนท่องเที่ยวของ Port Elizabeth เลย คือ Hippy Beach แล้วก็จะมี Casino อยู่บริเวณนี้ ซึ่งไม่ใช่แนวเราเลย แต่ท้องมันหิวครับ ไปหาอะไรทานก่อน ซึ่งวันนี้ก็ขอแนะนำอีกร้าน ถึงแม้ว่าจะบริการห่วยแตกกับคนผิวเหลืองเอเชียอย่างเรา แต่รสชาติอาหารของมันอร่อยจนอ่ะ ยอมก็ได้

ที่นี่คือ Raco Mamas ครับ เป็นร้านขายแนว BBQ & Burgers ซึ่งทำกันสดๆ หน้าครัวแบบไม่มีอะไรปิดบังเราเลย แล้วคืออาหารแต่ละอย่างน่าทานมาก เราจึงไม่พลาดที่จะสั่ง Burger Signature มาทาน และต้องบอกแบบตรงๆ เลยว่า ถึง Service จะแย่ แต่รสชาติอาหารมึงทำลายล้างความรู้สึกกูมาก คืออร่อยสัสๆ

ก็นั่นแหละครับ ถ้าบริการห่วยแตก ก็ไม่ได้ Tip จากกู แค่นั้น ซึ่งปกติแล้ว เราจะให้ Tip ราวๆ 10% ของทุกอย่าง แต่ไม่เกิน 50 zar ครับ แต่ครั้งนี้ ให้เศษเหรียญที่มันเกะกะกระเป๋ากางเกงสัก1.25 zar ด้วยเหตุผลเพราะว่า ดูถูกชาวเอเซียอย่างเรา ให้มาแค่ไหน กูก็ให้กลับไปแค่นั้นแหละเนอะ แต่เพื่อนๆ ไปนะ อร่อยจริง อาจจะไปหาสาขาอื่นที่ไม่ใช่ Port Elizabeth ก็ได้ และต้องขอโทษด้วยที่ดูใช้คำเหยียดในรีวิวนี้ เพราะตอนนั้น มันเหยีดกูแรงมากจริงๆ

เรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปที่สุดท้ายปิดทริปของมหากาพย์ทริปนี้แล้วครับ จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเราก็คือ Sacramento Hiking Trail แต่เราไม่ได้ Trail นะ เราไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันเฉยๆ ซึงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ว่าแต่ แวะข้างทางก่อน เห็นแล้วอยากหยิบกล้องมาถ่ายรูปจริงๆ

ข้างทางเมื่อกี้สวยเนอะ แต่เอาล่ะ นั่นก็แค่ข้างทางที่มันอาจมาเติมเต็มทริปนี้ให้ดูอ่อนนุ่มเหมือนดอกหญ้าก็ได้ หืออออ งงไหม พูดอะไรงงๆ อ่ะช่างมัน มาดูที่สุดท้ายกันเถอะ ว่าจะสวยงามเพียงใด

ที่นี่คือ Sacramento Hiking Trail  ห่างจากที่พักเราประมาณ 20 นาทีครับ ก็ไม่ได้ไกลมาก เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดใน Port Elizabeth นี่นะ คือเอาจริงๆ Port Elizabeth ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลย สำหรับเราถือว่าเป็นเมืองเถื่อน เมืองน่ากลัว มันอารมณ์ประมาณแหลมฉบังบ้านเราอ่ะ คือมีท่าเรือแบบบิ๊กๆ ไว้ส่งสินค้าและเป็นเมืองเศรษฐกิจแบบหนักๆ เลย ฉะนั้นระหว่างทาง เราจึงได้เห็นคนโบกรถเข้ามาที่ Port Elizabeth กันเยอะมากๆ

ถึงจะเป็นเส้นทางกับ Trial & Hiking แต่เราก็ขอถ่ายรูปเล่นแบบ Franking Style ก่อนแล้วกันเนอะ และจากที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับสถานที่สุดท้ายแห่งนี้ กลับกลายเป็นว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ปิดทริปของเราได้อย่างสมบูรณ์สุดๆ เลยล่ะครับ

    

มาถึงตรงนี้ก็ใจหายเหมือนกัน รีวิวตัวนี้จบลงแล้วหรอเนี่ย หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะสนุกไปกับทริปของเรานะครับ อาจจะมีคำหยาบคายเสียๆ หายๆ บ้าง แต่ก็เป็นอารมณ์อันหลากหลายที่จะให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจสถานการณ์ตอนนั้นจริงๆ ภาพทุกใบผมใช้กล้อง Canon 70D และ Canon M50 เลนส์ที่ใช้จะเป็น 10-22 mm. และ 18-135 mm. ครับ การแต่งภาพไม่แต่งครับ ใส่ Grain ให้ภาพดูเก่าอย่างเดียว ส่่วนการถ่ายภาพ ใช้ Auto mode รัวๆ ทุกใบครับ ไม่เน้นถ่ายสวย เน้นเรื่องราว จะมีอยู่ภาพเดียวที่ใช้ Manual Mode คือบ้านตอนกลางคืนที่ Giraffe View Safari Camp สุดท้ายแล้วถ้าชอบรีวิวนี้ อย่ากดไลค์ให้กำลังใจและแชร์เพื่อให้กำลังใจผมด้วยนะครับ แล้วเจอกันระหว่างทาง : )

D A Y  09:  END CREDIT

อ่าๆๆๆๆๆ เดี๋ยวอ่านไปแล้วจะงงว่าสรุปกลับบ้านยังไง สรุปคือหลังจากที่จบจากดูพระอาทิตย์ตก เราก็ขับรถไปคืนที่สนามบิน แล้วเรียก Uber มารับเราในราคา 31 zar เพื่อไปส่งที่บ้านพัก ระหว่างที่อยู่ในรถก็คุยกันแบบสนุกๆ ครับ แล้วก็นัดให้เค้ามารับเราที่บ้านตอนเช้า ช่วง 6 โมงเช้า เค้าก็ดีล เราแลกเบอร์กัน แล้วพอวันรุ่งขึ้น ตื่นแต่เช้า ช่วง 6 โมงเช้า เค้าก็มารับเราจริงๆ สุดท้ายแล้ว ทริปนี้ ก็จบลงด้วยรอยยิ้มของคนรอบตัว และคนข้างๆ เราทั้งนั้น แบกเป็ไปคนเดียวอาจไปได้เร็วกว่า แต่แบกเป็ไปพร้อมกันหลายๆ คน มันอาจช้า แต่แม่งสนุกกว่าแน่นอน ไว้เจอกันครับ : )

Leave a Reply

*