นิกโกะ เป็นเมืองชิคๆ | The Japanese saying “Never say ‘kekkō’ until you’ve seen Nikkō

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ทริปนี้ ไมมีโอกาสได้มา Business Trip ที่ญี่ปุ่นที่เมือง Utsunomiya จังหวัด Tochigi ประมาณ 20 วัน ใช่ครับ ไมยังไม่ได้ลาออกจากงานนะ เป็นพนักงานประจำอยู่ แต่เนื่องจากว่าเมืองนี้มันอยู่ติดกับ Nikko ครับ เลยอยากจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว Nikko อย่างคน Local ในช่วง Weekend ไปดูกันว่า 2 วัน 1 คืน ที่ Nikko พวกเราสามารถเที่ยวแบบไหนได้บ้าง

หลายคนพอพูดถึงญี่ปุ่นก็จะนึกถึงภูเขาไฟฟูจิ โตเกียว อะไรพวกนี้ใช่ไหม แต่เอาจริงญี่ปุ่นมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเต็มไปหมด อย่าง Nikko ที่ไมกำลังจะพาไปนี่ก็ถือว่าอยู่ใกล้กับ Tokyo มากๆ แต่สามารถเล่น Ski / Snowboarding ได้แบบไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลถึง Nagano หรือ Niseko เลย เอาล่ะ มารู้จัก Nikko กันดีกว่า

เมืองนิกโก (ญี่ปุ่น: 日光市 โรมาจิ: Nikkō-shi) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทิวเขาของจังหวัดโทจิงิ ห่างจาก Tokyo ประมาณ 140 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศ ในเมืองเป็นที่ตั้งของสุสานของโชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุกับโทกูงาวะ อิเอมิตสึผู้เป็นหลาน และศาลเจ้าฟูตาราซังอายุกว่า 1,200 ปี มีรีสอร์ทน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ทิวเขาทางตะวันตกของเมืองเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาตินิกโก เป็นที่ตั้งของน้ำตกและเส้นทางชมทิวทัศน์ที่ว่ากันว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งข้อมูลข้างต้นผมอิงมาจากวิกีพีเดีย แต่แค่ทำความรู้จักคร่าวๆ ก็ตื่นเต้นแล้วใช่ไหมละ

ซึ่งอุหภูมิของ Nikko ตลอดทั้งปีที่ผมเช็คมาคือต่ำสุดอยู่ที่ -8.5 องศาเซลเซียส และสูงสุดอยู่ที่ 22 องศาเซลเซียส ถือว่าเป็นตัวเลขที่สวยเลยทีเดียว ยังไงลองเลือกช่วงเวลาที่ไปดูและเช็คเปรียบเทียบอุณหภูมิช่วงนั้นของเพื่อนๆ ดูอีกทีนะครับ จะได้เตรียมตัวเลืองการเลือกเสื้อผ้ามาถูก

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะเดินทางมาที่นี่ Nikko การบินมาลง Tokyo คือสนามบินที่สะดวกที่สุด จากนั้นต่อ Shinkansen หรือ Local Train มาก็ได้ ซึ่งการหาตั๋วเครื่องบินสำหรับทริปญี่ปุ่นนั้น ผมแนะนำเป็นเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่น Traveloka เพราะเจ้าแอพฯ นี้จะเรียงลำดับความต้องการขั้นพื้นฐานของเราในแต่ละไฟล์ทได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นถุกไปแพง กรองเวลาขึ้น กรองเวลาลง เป็นต้น

และหากเพื่อนๆ คนไหนสนใจจะจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ – โตเกียว ก็สามารถคลิ๊กที่ปุ่ม booking flight ticket ข้างล่างนี้ เพื่อตรวจสอบวันเดินทาง และราคาข้างต้นก่อนเดินทางจริงได้เลย

ทริปนี้ พยายามจะจำกัดงบไม่ให้เกินคนละ 7,000 บาท ซึ่งก็ได้จัดแจงและเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปบางส่วนแล้ว แถมยังมีบัตร Credit Card TMB ALL FREE ติดตัวมาด้วยแล้ว แน่นอนว่าอะไรหลายๆ อย่างมันจะต้องดี ราบรื่น และถูกกว่าปกติแน่นอน

ซึ่งก่อนเริ่มเดินทางผมอยากขายของก่อน เพราะมันควรค่ามากๆ กับการได้บัตรที่มีสิทธิพิเศษสำหรับคนชอบเดินทางอย่างพวกเรา ตรงนี้หากใครไม่สนใจเลื่อนผ่านไปได้เลยนะ ส่วนคนที่สนใจ… มาดูกันว่า บัตร TMB ALL FREE มันน่าสนใจยังไงบ้าง

* เรทถูกกว่าร้านแลกเงิน เมื่อเราทำจ่ายตามสกุลเงินในประเทศนั้นๆ ที่เราไปเที่ยว คือห้ามจ่ายราคาไทยนะ ให้จ่ายราคาของประเทศนั้น ในตอนที่เราไปเที่ยวเลย

* ฟรีประกันเดินทาง เจ็บป่วย และหากเกิดอุบัติเหตุคือเคลมได้สูงสุด 1,000,000 บาท อันนี้คือคุ้มครองสูงสุด 10 วันเดินทางเลย

ซึ่งเจ้าตัวบัตรนี้ถ้าเพื่อนๆ สนใจก็สามารถขอได้ฟรีผ่าน TMB TOUCH และส่งถึงบ้านเลย และมากไปกว่านั้นคือตอนเปิดบัญชีช่วงนี้ ก็จะรับฟรี TRAVEL SIM ASIA ไว้เล่นเน็ตในโซนเอเชียถึง 6 GB มูลค่า 399 บาทจาก True Move H ไปสิ ที่สำคัญคือฟรีค่าธรรมเนียมรายปี 350 บาท เมื่อใช้จ่ายเพียง 15,000 บาทต่อปีขึ้นไป

จะเห็นเลยว่าบัตรเครดิตคาร์ด TMB ALL FREE ตัวนี้เหมาะมากๆ สำหรับนักเดินทางอย่างเราๆ จริงๆ ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกเยอะและน่าสนใจเต็มไปหมดเลย ยังไงเพื่อนๆ ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ tmbbank.com/af03

เอาล่ะ สำหรับคนที่เลื่อนผ่านมาถึงตรงนี้ เรามาดูแผนการเดินทางจำลองที่ผมได้ Draft ขึ้นมา เพื่ออิงการเดินทางจาก Tokyo มา Nikko ให้เพื่อนๆ ได้ลองพิจารณากันว่า Schedule นี้ จะผ่านหรือเปล่า

DAY 1: SNOWBOARDING

* เดินทางจาก Tokyo ขึ้นไป Hunter Mt. Shiobara เพื่อไปเล่น Snowboarding

* Onsen ที่ Kinugawa แช่คลายกล้ามเนื้อ

DAY 2: NIKKO TOURInG

* Ryuzu Falls

* Kegon Falls,華厳滝

* Lake Chuzenji,中禅寺湖

* Shinkyo Bridge

* Nikko National Park

แพลนของเราก็จะอะไรประมาณนี้นะครับ เอาล่ะ มาเริ่มกันที่ที่แรกก่อนเลยดีกว่า เพราะที่แรก เป็นกิจกรรมที่ผมชอบมากๆ นั่นก็คือ Snowboarding นั่นเอง ครั้งนี้ เรามาเล่นกันที่ Hunter Mt. Shiobara ครับผม

DAY 1 – SNOWBOARDING TIME

Hunter Mt. Shiobara (Ski Resort) Location: https://bit.ly/2CvAmxh Hunter Mountain คืออยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Nikko ที่นี่มี Ski Resort ถึงสองที่ให้เลือกซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ความยากอยู่ระดับปานกลาง เหมาะสำหรับคนที่หัดเล่นใหม่ๆ มีคอร์ดเรียน มี Shop ขายอุปกรณ์การเล่น หรือสามารถยืมอุปกรณ์เป็น Set ได้ อย่าง Board + Boots + Snow Wear ราคา 7,500 เยน หรือจะเช่าอย่างใดอย่งาหนึ่งก็ได้ อย่งละ 3,000 เยน

บัตรสำหรับขึ้น Life / Gondola สามารถซื้อแบบ Ond Day ในราคา 4,700 เยน หรือ 4 ชั่วโมงที่ 4,400 เยน หรือจะขาเดียวเที่ยวละ 470 เยนก็ได้ นี่แนะนำนะ ถ้าใครที่ไม่เคยเล่นมาก่อน แนะนำให้ซื้อขาเดียวพอ เพราะคิดว่ากว่าจะลงมาถึง Ground น่าจะครึ่งวัน

ช่วงที่เราไปหิมะเริ่มไม่นุ่มแล้วนะ แต่ฤดูที่เหมาะจะมาเล่นที่นี่คือช่วงเดือนต้นธันวาคมถึงกลางเมษายนของทุกที แต่เดือนกุมภาพันธ์คือพีคที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยนด้านบนติดลบ อากาศแย่ที่สุดคือ -8 องศาเซลเซียส ฉะนั้นแล้ว เตรียมตัวไปกันดีๆ

การเดินทางครั้งนี้ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่สะดวกนั่นรถไฟ หรือรถบัสอะไรทั้งนั้น เราอยากทำเวลาได้ และอยากแวะไหนก็แวะครับ สำหรับคนที่มีความคิดและความต้องการเหมือนกัน ผมแนะนำให้เช่ารถกับ TOYOTA RENT A CAR ครับ สามารถจองก่อนมาได้เลย ก็ใส่ข้อมูลต่างๆ ตามที่เค้ามีให้ใส่ จุดรับรถ คืนรถ เวลานั่นนี่

แต่ก็ตั้งเช็คด้วยนะว่า ช่วงที่เราไปมีหิมะหรือเปล่า ถ้ามี ก็อยากให้บวกเรื่องยางสำหรับขับบนพื้นหิมะเข้าไปด้วย เพื่อควาปลอดภัยของตัวเอง รถก็มีหลายแบบให้เลือกครับ เลือกที่เหมาะสมกับเส้นทางและจำนวนคนของเราให้มากที่สุด

ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ได้ยากครับ แนะนำให้จองมาก่อนเลย เพราะแถบนี้ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ที่สามารถ Walk in อย่างสะดวกเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ ควรจองไปก่อน ถ้าให้แนะนำก็จะเป็น Traveloka นี่แหละครับ ที่มี choice ที่พักดีๆ ให้เพื่อนๆ ได้เลือกพักตามราคาที่สบายกระเป๋า

มากไปกว่านั้นคือสามารถจองที่พักในโหมดแผนที่ คือดูเลยว่าเราต้องการพักบริเวณไหน ก็แค่จิ้มไปบริเวณนั้นๆ แล้วราคาที่พักใกล้เคียงก็จะผุดขึ้นมายั่งกับดอกเห็ดเลยล่ะ อย่างคืนนี้ เราพักกันที่ Tora Hostel ครับ (Location: https://bit.ly/2HR01nG) อยู่ติดกับ JR Nikko Station เลย สภาพห้องก็ อย่างที่เห็น แต่นอนสบายนะ ใกล้ Downtown และ National Park เป็น Hostel หัวละ 3,000 เยน หรือประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น

ในตัวที่พัก็มีไม่กี่ห้องนะ แต่ก็คลาสสิคพอตัว มีห้อง Mix Dorm และ Female Form ห้องครัวมีให้ ห้องน้ำมีหนึ่งห้อง ห้องอาบน้ำมีหนึ่งห้อง มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีโซน Sharing Room ให้ได้พูดคุยกัน อย่างช่วงที่เราไปพักนี่คือ Brianstorm กับเพื่อนที่ไปพักด้วยกันเลยว่าควรไปไหนบ้าง แล้วก็ hang out เบาๆ กันก่อนนอน

นอกจากนั้น ตัวที่พักยังเป็น Café ด้วยล่ะ ซึ่งดีมากๆ บรรยากาศภายในร้านดูเล็ก แต่อบอุ่น มองจากนอกร้านก็ดูชิคๆ ลองสั่งเมนูบางเมนูมาชิม ก็ถือว่าโอเคเลย

จริงๆ เมนูมีเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็น homemade ด้วย และที่ชอบที่สุด เห็นจะเป็น Ice Shaving Tochigi Strawberry จานนี้ ราคา 1,200 เยน แต่หอมละมุนลิ้นมาก

นี่เล่น Snowboard กันอยู่ดีๆ พากลับมาที่พักเฉยๆ เอาล่ะ ย้อนกลับไปที่ Ski Resort นิดหนึ่ง หลังจากเล่นเสร็จ แนะนำให้ไปแช่ Onsen ต่อเลย ซึ่งในตัว Tochigi นั้น Kinugawa Onsen ถือเป็นอีกที่ที่ห้ามพลาด ในโซน Nikko

ไม่ต้องขับไปไหนไกล ทางผ่านเข้าเมือง Nikko เลย แวะไปหน่อย ซึ่งKinugawa Onsen Location: https://bit.ly/2JKGrM6 เนี่ย ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Onsen ที่ห้ามพลาดเมื่อมาประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางต้นน้ำของแม่น้ำคินุกาวะซึ่งไหลผ่านเมืองนิกโก้ มีทั้งออนเซ็นเท้าและออนเซ็นกลางแจ้ง หนึ่งในไฮไลท์เด็ดของคินุกาวะออน

เซ็นวิวของหุบเขาลึกที่ผันแปรไปตามฤดูกาลทั้ง 4 ฤดู เรียกได้ว่า สวยคนละแบบอย่างสมบูรณ์ สรรพคุณของคินุกาวะออนเซ็น คือมีคุณสมบัติเป็นออนเซ็นด่างสีใส ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถแช่ได้อย่างสบายใจ มีทั้งแบบเอกชน และแบบไปแช่กันฟรีๆ ตรงนี้ต้องศึกษาข้อมูลกันเอาเอง ไปแช่หลังเที่ยวจบทริปแบบเราจะ คือช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและความเครียดมากๆ คือดีย์

มันจะมีอยู่จุดหนึ่งที่อยู่ติดกับสะพาน สามารถกดตาม Link Location ที่ให้ไว้ได้เลย อันนั้นคือเป็นวิวภูเขาแล้วเอาเท้าแช่ออนเซ็นได้ ส่วนของพวกเราครั้งนี้ไปออนเซนกันที่ Kinugawa Onsen Hotel ค่าเสียหายคนละ 1,100 เยน คือดีพอตัว มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor เสียดายที่เก็บรูปของในมาฝากไม่ได้

หลังจากที่แช่ออนเซนมาหน่อย จะมีอยู่ 2 สถานที่ที่อยากให้แวะครับ นั่นก็คือ Edo Wonderland ซึ่งเป็นเมืองจำลองของชาว Edo และ ไร่สตรอเบอร์รี่ Nikko Hana Ichimonme คือช่วงที่เราไป เวลาไม่พอครับ เลยตัดสองที่นี้ทิ้ง ยังไงถ้าเพื่อน ๆ ไป แล้วจัดเวลาได้ นี่ก็ขอแนะนำเลย นี่มัวแต่เล่น Snowboard เพลินไปหน่อย

เอาล่ะ กลับเข้ามาในเมือง ที่พัก Tora Hostel มีที่จอดรถบริการนะครับ แต่ต้องแจ้งเค้าก่อน รู้ใช่ไหมว่า ญี่ปุ่นที่จอดรถต้องเสียเงินด้วยนะ ถ้ามีที่พักหรือจะเหลือที่ไหนสักที่ ก็ควรเช็คด้วยว่ามีที่จอดรถไหม หากเอารถไปเองเหมือนพวกเรา

ช่วงเย็นนี้เราเดินทัวร์เมืองกันครับ รู้สึกหลงรักเมืองนี้แฮะ ถ้าให้เปรียบเทียบคงเหมือนเมือง Banff ที่แคนนาดา อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า แต่ก็ดูอบอุ่นในแบบของเค้าล่ะ

สำหรับคืนนี้ เราจะไปหาร้านอาหารน่าทานของ Nikko ซึ่งร้านอาหารของ Nikko เยอะมาก เลือกไม่ถูกเลย เดินไปเดินมา มาหยุดอยู่ร้านนี้ครับ (อ่านไม่ออก)

ข้างในร้านไม่ใหญ่มาก แต่พนักงานทุกคนนี่ดูเหมือนเป็นญาติกันหมด จริงๆ อยากถามมากเลย ว่านี่คือธุรกิจครอบครัวใช่ไหม มื้อนี้เราจัดกันหนักพอตัวครับ ไวน์หมดไป 3 รวมอาหารอีกหลายจาน แต่เบ็ดเสร็จแล้วราคาทั้งหมดคือไม่ถึง 5,000 เยน โอ้ยยยย อะไรจะดีขนาดนี้

คืนแรกจบไปแบบเจ็บเนื้อเจ็บตัวครับ เพราะเล่น Snowboard นี่แหละ ผมว่าสำหรับคนที่อยากลองเล่น Snowboard หรือ Ski แนะนำว่าให้มาเมือง Nikko ครับ ใกล้ ไม่ไกล แถมราคาก็ไม่ได้แพงมาก คือแนะนำเลย ห่างจาก Tokyo แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น

DAY 2 – I LOVE NIKKO

เอาจริง ไม่คิดว่า Nikko จะมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ ช่วงที่พักที่ Tora มีโอกาสได้ปรึกษากับพนักงานใน Hostel คือมีที่เที่ยวเยอะมาก และสรุปที่สำคัญๆ คืออยู่ใกล้กันหมด ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยวแนวธรรมชาติที่จะต้องนั่งรถออกไปหน่อย

ซึ่งแน่นอนครับ เราไปแน่นอน และที่แรกที่เราจะพาไปคือ สถานที่แนวรอบของทะเลสาบ chuzenji ซึ่ง Lake Chuzenji Location: https://bit.ly/2UaoKd1 ตั้งอยู่บริเวณฐานภูเขาไฟนันไต (Mount Nantai) เป็นทะเลสาบที่สวยนะโดยส่วนตัวของผม หน้าร้อนสามารถเดินป่าได้ และพายเรือเล่นได้ด้วย แต่หน้าหนาวที่ผมไปคือยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือ คือหนาวมาก อุณหภูมิไม่เท่าไหร่ ลมนี่สิ

ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการระเบิดเมื่อประมาณ 20,000 ที่ผ่านมา บริเวณชายฝั่งชูเซนจิโกะ ไม่ได้รับการพัฒนามากนัก ยกเว้นทางทิศตะวันออกของทะเลสาบตอนกลายมาเป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่เราเห็นตรงจุดชมวิวน้ำตก Kegon ชื่อ Chuzenjiko Onsen ถ้าให้แนะนำคือช่วงฤดูใบไม้ร่วงกลาง และปลายเดือนตุลาคมจะสวยที่สุดเพราะสีสันของต้นไม้และภูเขา

สถานที่เที่ยวของเราช่วงเช้าเนี่ยจะสูงจากระดับน้ำทะเล 1,269 เมตร และอย่างที่บอกครับ สามที่ที่เรากำลังจะพาเพื่อนๆ มาเที่ยวทั้ง Kegon Falls และ Ryuzu Falls ถ้าจะขับรถมาเอง ให้ระวังด้วย

เริ่มที่แรกกันที่ Kegon Falls กันเลยดีกว่า Kegon Falls Location: https://bit.ly/2CCEaN9 ถือเป็นน้ำตกที่ถูกยกว่าเป็นน้ำตกที่สวยเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น มีความสูงราวๆ 100 เมตรและยังสวยเว่อร์วังในฤดูร้อนและใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงที่เราไปเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดู เลยยังไม่สวยแบบ 100%

ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดพีคจุดหนึ่งสำหรับการชมใบไม้แดงในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีช่วงกลางๆ ไปจนถึงปลายเดือนตุลาคมของทุกปีด้วยนะ ช่วงฤดูหนาวนี่ก็จะประมาณเรานี่แหละ สามารถชมอยู่บ้านบนได้ฟรีๆ แต่หากอยากลงไป

ด้านล่าง มีลิฟท์ให้ ราคาคนละ 550 เยนจริงๆ มันสวยนะ ลองนึกภาพตามสิ น้ำตกนี่คือน้ำที่ไหลลงมาจาก Lake Chuzenji คือถ้ามีภาพมุมบนจะเข้าใจถึงความสวยมากกว่านี้ แต่คือเจ้าหน้าที่ไม่ให้ปล่อย Drone เราก็ไม่ปล่อย คิดว่าช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะงดงามอลังกาลเว่อร์

ขับไปตามแนวทะเลสาบเรื่อยๆ ประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะเจอ Ryuzu Falls Location: https://bit.ly/2urqqjK ที่นี่ถือเป็นอีกที่หนึ่งที่ผมชอบมากๆ ในทริปนี้เลย เป็นน้ำตกที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติน ชื่อน้ำตกริวซูแปลได้ตรงๆ ตัวตามภาษาญี่ปุ่นว่า “น้ำตกหัวมังกร” หน้าหนาวก็สวยไปอีกแบบ แต่หน้าแนะนำคือช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จุดนี้จะสวยมากๆ

บริเวณน้ำตกมีร้านของซื้อของขาย รวมไปถึงอาหารมื้อหนัก แนะนำว่าถ้าไม่หิวก็สั่งน้ำชาร้อนๆ มาจิบชิมบรรยากาศ หรือหากหิวหนัก ก็สั่ง Soba / Udon มาทานรับรองว่าฟินไปกับบรรยากาศน้ำตกแน่นอน

ส่วนตัวแล้วผมชอบที่นี่มาก และในช่วงหน้าร้อนเอง ก็สามารถเดินเข้าป่าสนไปชมต้นน้ำได้ไม่ไกล เพียง 300 เมตร เรียกได้ว่า สามารถมาเยือนได้ทุกฤดูจริงๆ และน้ำตกเส้นนี้ ก็ไหลลงไปที่ Lake Chuzenji ไหลต่อกลายไปเป็น Kegan Falls นั่นเอง

จริงๆ แล้ว ถ้าสังเกตุเห็นชุดที่ไมใส่ ต้องบอกเลยครับว่าเป็นตัวเดียวกันกับที่เล่น Snowboard เมื่อวาน และเป็นตัวเดียวกับที่ใส่ไปทริปรัสเซียล่าสุดที่พึ่งไปมา (review: https://www.palapilii.com/archives/13692 )

ตัวนี้คือรุ่น Men’s Outdry Rogue™ 3-in-1 Interchange Jacket  ราคา 15,570 บาท แจ๊คเกตที่ให้ทั้งความอุ่นและปกป้องเราจากน้ำ ฝน และลมในตัวเดียว มี Outer shell ชั้นนอกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำที่ดีที่สุด Outdry Extreme ผลิตด้วยผ้าที่มีเทคโนโลยีกันน้ำและระบายอากาศได้เป็นอย่างดี มี Hybrid|Thermarator™ InsulationJacket ตัวชั้นในเป็น Insulated ที่กันความหนาวได้ดีเลยล่ะ ใครไปเมืองหนาวบ่อยๆ แนะนำเลย

ขากลับขับรถกลับลงมาในเมืองนะ เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวในจุดที่เรียกได้ว่าห้ามพลาดเมื่อมา Nikko นั่นก็คือ Zone National Park นั่นเอง ซึ่งก่อนมาบอกเลยว่าไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เยอะ แต่คือ…. แม่งดีมากกกกกก > <

ที่ National Park มีที่จอดรถให้นะครับ จอด 1 วันจ่ายเพียง 510 เยนเท่านั้น หรือหากใครมารถไฟ ก็เดินจาก JR Station ไปประมาณ 2.8 กิโลแค่นั้น แต่อย่าลืมว่า เราต้องเดินในตัวอุทยานด้วยนี่สิ ถ้างั้นก็แนะนำให้นั่งบัสต่อไปอุทยานแล้วกัน ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ยังไงลองหาเอาเองนะ

ที่แรกคือ Shinkyo Brigde ซึ่งเป็นสะพานไม้สีแดง เป็น 1 ใน 3 ของสะพานที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ทอดข้ามแม่น้ำไดยะ (daiya river) มีความยาว 28 เมตร กว้าง 7 เมตรสูงจากระดับน้ำประมาร 10 เมตร สร้างจากไม้โดยมีเสาหินรองรับน้ำหนัก มีอายุกว่า 1,000 ปี

เชื่อกันว่าหากใครพับเครื่องบินกระดาษ แล้วขอพรให้สิ่งชั่วร้ายปลิวไปพร้อมกับเครื่องบินกระดาษ จะทำให้สิ่งไม่ดีถูกทำลายออกไปจากชีวิต คือเหมือนแบบสิ่งไม่ดี พอมันจมน้ำไปกับกระดาษ ก็จะละลาย แล้วล่องลอยหายไปในทะเลอะไรประมาณนั้น

ซึ่งบริเวณนี้เองเรียกได้ว่า ฮิต ฮิตสุดๆ คนเยอะมาก และจะต้องจ่ายค่าเข้าไปในโซนสะพาน ซึ่ง เราไม่ไปอ่ะ ไม่อินขนาดนั้น แต่น้ำของแม่น้ำไดยะนี่คือฟ้ามากๆ เพราะเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนภูเขานั่นเอง

บริเวณใกล้เคียง เดินวนกลับเข้าไปในย่าน Downtown หน่อย จะมีของกินเยอะมาก ยังไงอย่าพลาดนะ นี่คือยอมเดินย้อนกลับไปเลยอ่ะ บางร้านคือคนเยอะ ต่อคิวแบบยาวสองสามตึก อันนี้ไม่สามารถรอได้จริงๆ จ้ายังไงฝากร้านนี้หน่อย Nikko Pudding Tei ว่าอร่อยไหม เพราะคนต่อคิวเยอะเหลือเกิน

เอาล่ะ ทีนี้ก็เดินเข้าโซน National Park ได้แล้ว ตอนเดินเข้าไม่ต้องจ่ายอะไรนะ จะไปแยกจ่ายตอนที่เราจะเข้าแต่ละวัด ซึ่งตั๋วก็มีหลายแบบให้เลือก แบบรวมทุกอย่างก็มี หรือแบบแยกแต่ละสถานที่ก็มี ซึ่งหากมีเวลาเยอะๆ ก็แนะนำให้ซื้อแบบเหมารวมไปเลย

ถัดมาจะเป็นวัดรินโนจิ(Rinnoji Temple) เป็นวัดที่สำคัญมากที่สุดของเมืองนิกโก้ (Nikko) เพราะถูกก่อตั้งโดยพระสงฆ์ผู้นำศาสนาพุทธเข้าสู่นิกโก้ในช่วงศตวรรษที่ 8 นามว่า “Shodo Shonin” วัดแห่งนี้ยังจะเป็นที่ประดิษฐานของสองสิ่งที่ถือว่าล้ำค่าทางวัฒนธรรมและมีความศักสิทธิ์มากๆ อย่างรูปแกะสลักไม้ Amida,Senju-Kannon ซึ่งเป็นพระพุทธรูป Kannon พันมือและ Bato-Kannon ที่เป็นพระพุทธรูป Kannon ที่มีศีรษะเป็นม้า

ช่วงที่เราไปปิดปรับปรุงอยู่ และจะเปิดอย่างเป็นางการปี 2021 ค่าเข้า 400 เยน และไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน

และจุดสุดท้ายจะเป็น Nikko Toshogu จุดนี้ขอบอกว่าห้ามพลาด ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาสสถานในศาสนาชินโตที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1617 เพื่ออุทิศให้กับโชกุนผู้หญิ่งใหญ่อย่าง Ieyasu Tokugawa ผู้สถาปนารัฐบาลทหารในการปกครองเมืองเอโดะ (โตเกียว) และถือเป็นโชกุนคนแรกของต้นตระกูล Tokugawa ที่เรืองอำนาจ ปกครองญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 250 ปี

จริงๆ แล้ว National Park และวัด Toshogu แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage Site ในปี ค.ศ.1999 มีจุดน่าสนใจอยู่หลายจุดมาก ไม่ ว่าจะเป็น Ishidorii Gate, Gojunoto, Omotemon,Sanjinko, Nemurineko (Sleeping Cat), Sanzaru(Three Wise Monkey), Yomeimon Gate และ Gohonsha (Main Shrine) คืออย่าพลาดสักอย่างเลย ขอบอก

ค่าเข้าคนละ 1,300 เยน ย้ำอีกทีว่าไปเหอะ อันนี้สวยมากกกกกกกกกก > < สวยแบบควรเผื่อเวลาให้ที่นี่เยอะๆ เลย นี่เป็นคนไม่ชอบเข้าวัด หรือดูสถาปัตยกรรมอะไร แต่ ณ จุดนี้ Toshogu คือดีงาม แนะนำให้ศึกษาประวัติอะไรไปด้วย จะได้อินสุดๆ

เอาเข้าจริงๆ ถ้าจะให้ดีคือทิ้งครึ่งวันให้กับ National Park เลย จะได้ไม่ต้องเรีบ ค่อยๆ ดู ค่อยศึกษา ค่อยๆ ถ่ายรูปเก็บไปที่ชะ Shot เผลอๆ เดินไปเดินมา เพลินจนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวันเลยก็ได้ และนี่ก็เป็นทริปสั้นๆ ที่ Nikko ของผม ที่ใช้ช่วงเวลาแค่เสาร์อาทิตย์ หรือ 2 วัน 1 คืน ในการเดินทาง ที่สำคัญคือด้วยกิจกรรมที่เล่น และสถานที่ที่ไปแต่ละที่แล้ว ไม่แพงอย่างที่คิด ก่อนจบมาดูรายจ่ายกันดีกว่า ว่าเราต้องจ่ายค่าอะไรกันบ้าง

ก่อนจากกันอยากจะบอกว่า จริงๆ ได้ยินคำว่า Nikko มาตั้งนานละ แต่ไม่เคยคิดจะไป นี่บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่มีโอกาสได้มา Business Trip กับที่ทำงาน Nikko ก็ยังไม่ถูกแพลนว่าจะมาเที่ยวเร็วๆ นี้หรอก แต่เชื่อเหอะว่า พอได้มาสัมผัสที่นี่จริงๆ แล้วจะลืมญี่ปุ่นอย่างที่เคยคิดมาก่อนหน้าไปได้เลย ตอนนี้หรอ ให้กลับมา ก็จะมาอีกอ่ะ แล้วเจอกันระหว่างทางครับ : )

Leave a Reply

*