Site icon PALAPILII-THAILAND

ตะลุย Hakodate – Aomori – Sendai 3 ที่ 3 สไตล์ ด้วย JR East-South Hokkaido Rail Pass

ตะลุย Hakodate – Aomori – Sendai 3 ที่ 3 สไตล์ ด้วย JR East-South Hokkaido Rail Pass

คือสมัยก่อนตอนเด็กๆ เคยคิดว่า Hokkaido เป็นเมืองที่ไว้ใช้สำหรับจับปลาชะโด เห้ย!!! ไม่ใช่ เป็นเมืองที่มีไว้สำหรับเที่ยวช่วงฤดูหิมะ มาเล่นสกี สโนบอร์ดอะไรก็ว่ากันไป แต่ไม่ใช่ว่ะ มันไม่ใช่เลย สำหรับประสบการณ์การไปเที่ยว Hakodate Aomori Sendai ในแบบฉบับรวบรัดครั้งนี้

ครั้งนี้เราบินไป-กลับ กับ ” JAPAN AIRLINES ” บินจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงโตเกียว 6 ชั่วโมง ละต่อเครื่องเพื่อบินไปยัง Hakodate ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเริ่มขึ้น…

ก่อนจะเริ่มเรื่องนี่ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ตอนนี้ใครที่อยากไปเที่ยวทั้งโซนโตเกียว โทโฮคุและฮอกไกโด นั้นง่ายและสะดวกมากๆ เพราะตอนนี้เค้ามีพาสรถไฟ ” JR East-South Hokkaido Rail Pass ” แล้วนะ มันดียังไงนะหรอ คืองี้ เราสามารถซื้อตั๋วจากที่ไทยได้เลยซึ่งบอกกันตรงนี้เลยว่าถูกกว่าญี่ปุ่น 1,000 เยน ไม่ได้โม้จริง ลองเข้าไปดูเว็ปนี้https://www.jreast.co.jp/e/downloads/pdf/south_hokkaido_th.pdf  โดยพาสใบนี้เราสามารถซื้อล่วงหน้าที่ไทยไว้ได้นานถึง 90 วัน ส่วนระยะเวลาการใช้คือภายใน 2 อาทิตย์ใช้ได้ 6 วันโดยไม่ต้องใช้ทุกวันก็ได้ คือเลิศมากกก เดินเล่นอยู่โตเกียวเบื่อหน่อย ก็วาร์ปไปฮอกไกโด ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ไปเช็คอินให้เพื่อนอิจฉาเล่นไม่เห็นเป็นไรเลย ฮิฮิ

เอาล่ะ Hakodate หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อที่นี่แต่ถ้าพูดถึงหนังเรื่อง ” แฟนเดย์ แฟนกันวันเดียว ” อาจจะร้องอ๋อออ…. เพราะหนังส่วนใหญ่เขาถ่ายทำที่นี่จ้าาาาา ไปดูกันดีกว่า

DAY 1

” BAY ” (Bay Area) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ไฮไลท์ของที่นี่เลย แบบใครมาไม่ได้ถ่ายรูปกับตึกอิฐสีแดงถือว่ามาไม่ถึง ด้วยตัวอาคารที่สร้างมาจากโกดังเก่าผนังอิฐสีแดงที่ตั้งเรียงกัน บวกกับโลเคชั่นที่อยู่ริมอ่าวและมีภูเขาตั้งฉากอยู่ด้านหลัง ทำให้ BAY จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

มองไปรอบๆ เพื่อนๆ ก็จะสังเกตเห็นว่าที่นี่เป็นท่าเรือด้วย ในส่วนของ BAY นั้น นอกจากจะมีมุมแปลกๆ น่าสนใจ และโลเคชั่นสวยๆ ที่ใช้ถ่ายรูปอีกเพียบแล้ว BAY ยังมีของซื้อของขาย อาหารการกินแบบญี่ปุ่นๆ ให้เพื่อนๆ ได้จับจ่ายใช้สอยกัน และสำหรับคนที่มาแล้วบ่นเหนื่อยไม่อยากเดิน ก็มีรถลากมาบริการจ้าาาา พี่สุดหล่อเขาพาวิ่งตกอยู่ที่ 2,000 เยน สำหรับคนที่เดินไม่ไหว เราว่าคุ้มสุดๆ เลยนะ

นอกจากนี้สำหรับใครที่อยากใส่ชุดยูกาตะถ่ายรูปเล่น ที่นี่เขาก็มีบริการ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ชั่วโมงละ 3,000 เยน จะมีพี่สาวเค้าคอยแต่งตัวให้พวกเรา ตอนใส่ พี่เค้าใส่ไปกี่ชั้นไม่รู้ แต่พอใส่ออกมาเสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ นี่มันนางฟ้าชัดๆ ฮาๆๆๆๆๆ

เดินจนเมื่อย เที่ยวจนเหนื่อย และเดินผ่านเข้ามาลึกอีกนิดหนึ่ง ด้านหลังของ BAY จะมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านน่ารักๆ สไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์น มาที่นี่จะไม่ให้กินของสดได้อย่างไร เอาล่ะ ขอเติมพลังด้วยมื้อเที่ยงที่ร้านนี้เลย

อิ่มหนำสำราญ ชื่นบานและสบายใจ หลังจากที่เราทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราก็เดินทางมาต่อกันที่  Goryokaku หรือที่ใครอาจจะเคยได้ยินชื่อ ” ป้อมดาว 5 แฉก ”

จุดเด่นสำหรับที่นี่คือเมื่อสมัยก่อน Goryokaku เป็นป้อมป้องกันศัตรูของที่นี่ ถ้ามองจากมุมสูงลงมาจะเห็นเป็นรูปดาว เหตุผลเพราะเพิ่มพื้นที่ในการวางปืนใหญ่นั่นเอง ซึ่งจะมองเห็นได้จากมุมสูง โดยปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาชมความสวยงามของเมือง รอบๆ บริเวณนี้ได้ปลูกต้นซากุระไว้ถึง 1,600 ต้น ซึ่งพอถึงฤดูใบไม้ผลิไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะ คงบานสะพรั่งสวยงามน่าดู > <

นี่ๆ ถ้าเพื่อนๆ ยังมองไม่ออกว่ามันเป็นรูปดาวยังไง ที่นี่เขาได้ทำโมเดลจำลองไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ดูด้วย เมื่อมองลงมาเราจะเห็นลักษณะรูปดาวแบบนี้เลยยยยยยย

หลายเรื่องที่เราชอบประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเรื่องนี้ เวลาเราไปพิพิธภัณฑ์ หรือไปกับทัวร์อะไรสักอย่างทำนองนี้ ทุกครั้งที่เราซื้อตั๋วหรืออะไรก็ตามเขาจะมีโต๊ะสำหรับให้เราปั้มตรา ดูไปคล้ายๆ กับสมุดอุทยานแห่งชาติบ้านเราเลยนะ ไปที่ไหนมาบ้าง ก็ปั้มเก็บไว้ เป็นการแสดงหลักฐานว่า เรามาถึงแล้วนะ อะไรแบบนี้ ฮาๆๆ แต่ของที่นี่ ทำออกมาได้น่ารักสุดๆ > <

จริงๆ วันนี้ตามแพลนของเราก็เก็บทุกที่เสร็จหมดแล้ว ก่อนกลับเลยแวะห้างสรรพสินค้าชื่อ SHARE A STAR  เป็นห้างเปิดใหม่ของที่นี่ เปิดช่วงต้นปีเอง จาก Goryokaku Tower ไม่ไกลมากประมาณ 10-15 นาที

และต้องขอบอกว่าสาวก MUJI มาที่นี่ต้องกรี๊ดเลยแหละ ที่สำคัญเกือบทั้งห้างคือ MUJI เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่ง MUJI ชัดๆ มองไปทางไหนก็คุมโทนสีอุ่นๆ แบบนี้แหละที่ชอบ > <

สำหรับคืนนี้ เราพักกันที่ Yunokawa Onsen Hotel Banso เป็นโรงแรมที่ข้างนอกดูทันสมัย แต่ข้างในยังเก็บความเป็นญี่ปุ่นไว้อย่างเต็มเปี่ยม บอกได้เลยว่ากินอิ่มนอนอุ่นมาก มาที่นี่อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือการแช่ออนเซ็น สบายสุดๆ หลังจากที่ผ่านการเหนื่อยมาทั้งวัน ที่นอนอุ่นๆ ผ้าห่มนุ่มๆ นี่แหละที่ต้องการ

เอาล่ะ ตัวสบาย ใจสบาย แต่ท้องยังไม่สบาย ชั้นล่างของโรงแรม มีเมนูอาหาร Buffet รอเราอยู่ และขอบอกว่าอาหารดีมีคุณภาพมากๆ พรีเมี่ยมสุดๆ แซลมอนนี่นิ่มละลายในปาก สลัดก็ซีซ่า ปูก็นะ เห้ออออ ทานเลยดีกว่า ขี้เกียจอวดละ ๕๕๕

เราแอบมาเตะตากับเจ้าน้ำกระป๋องรูปหมีอันนี้ ขอลองชิมสักหน่อย สรุปคือน้ำอะไรไม่รู้เหมือนโค้กบ้านเราใส่กลิ่นองุ่น ไม่หวานแปลกดี 5555

DAY 2

เราเริ่มต้นเช้าวันที่สองด้วยการไปเดินเก๋ๆที่ ” Morning Market Hakodate “ ที่นี่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของอาหารทะเล ทะเล และก็ทะเล มองไปที่ไหนก็มีกุ้ง หอย ปู ปลา เต็มไปหมด ใครมาที่นี่แล้วบอกแพ้อาหารทะเลนี่โคตรพลาดเลย เราเชื่อว่าคงเคยได้ยินเกี่ยวกับอาหารของที่นี่กันมาบ้างแล้ว และยิ่งเป็นเกาะ Hokkaido นี่แล้วด้วย ฟินระดับเจ็ดไปแล้วตั้งแต่อาหารยังไม่เข้าปาก ฮาๆ

ของกินที่เราไม่พูดถึงอีกอย่าง แบบว่าถ้ามาที่นี่ไม่ได้กินเรียกว่ามาไม่ถึงเลยนะ นี่เลยย เมล่อน หวานฉ่ำลืมโลกโคตรรรรร!!!

ทีเด็ดสำคัญที่ไปเจอมาแล้วไม่ควรพลาดคือการตกหมึกสดๆ แล้วกินกันตรงนั้นเลย อร่อยยมากก คือตกเสร็จเค้าก็ทำให้เรากินกันตรงนั้นเลย

ลองคิดภาพตามดูตอนกินหนวดยังดึ๊บๆๆ ในปากอยู่เลย 555

มาที่นี่อีกอย่างที่อยากให้เพื่อนๆ ลองหาลองกินกันดูคือ ซาลาเปาใส้ปู ปูเน้นๆ โคตรอร่อย

หลังจากเดินเล่นในตลาดเสร็จเรานั่งรถมาเที่ยวอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองคือที่ ” Old British Consulate of Hakodate “ สถานกงสุลอังกฤษ จากประวัติคร่าวๆ อาคารหลังนี้เคยถูกใช้เป็นสถานกงสุลอังกฤษตั้งแต่ปี 1913 จนถึงปี 1934 ปัจจุบันกลายเป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อระลึกถึงการเปิดท่าเรือฮาโกดาเตะ

ตัวอาคารจะเป็นอาคาร 2 ชั้น แสดงเรื่องราวต่างๆ ของการเปิดท่าเรือแห่งนี้ สำหรับคนที่ชอบจิบชาแบบอังกฤษ บริเวณชั้น 1 จะมีค่าเฟ่น่ารักๆ อยู่เด้ออ

โดยบริเวณรอบๆ อาคารจัดเป็นสวนและปลูกดอกกุกลาบ มีลานน้ำพุวิวโคตรดีได้อารมณ์แบบอังกฤษมากๆ

บริเวณรอบๆ สถานทูตยังมีสถานที่ฮิตอีกเพียบ เช่นถนนเส้นนี้ลาดยาวไปจนถึงริมทะเล คือจะบอกว่าเมือง Hakodate สวยมากเลยแหละ รู้สึกติดใจยังไงก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก

หลังจากเยี่ยมชมสถานทูตเสร็จเรานั่งรถออกไปยังนอกเมืองเพื่อไปล่องเรือที่ ” Onuma Quasi-National Park “ ที่นี่เป็นการล่องเรือชมทะเลสาบ ปล่อยใจไว้กับธรรมชาติ ฟังเสียงน้ำเสียงลม เค้าบอกว่าที่นี่หน้าหนาวจะเย็นจัด จนน้ำในทะเลสาบแห่งนี้แข็งเป็นแผ่นเดียวกันทั้งหมด ช่วงนั้นก็จะเปิดให้นักท่องเที่ยวมาจับปลา เล่นไอซ์สเก็ตกัน คิดดูว่าจะสนุกแค่ไหนแต่ช่วงที่เราไปมันสวยคนละแบบ ทุกอย่างดูชุ่มชื่นสดใส มองไปทางไหนก็เขียวไปหมดสบายตามากๆ

ระหว่างนั่งเรือก็จะแจกเจ้านี่เป็นเครื่องบรรยายฟังกันไปเพลินๆ มีภาษาไทยด้วย เก๋ๆ

ระหว่างทางมีฝนพอให้ชุ่มฉ่ำกันนิดหน่อย

หลังจากล่องเรือเสร็จ ที่นี่ยังมีกิจกรรมทางบกที่น่าสนใจอีกด้วย สำหรับใครที่ชอบปั่นจักรยาน ที่นี่ก็มีให้เช่าในราคา 1,000 เยน ปั่นไปเถอะ ปั่นไปให้น่องโป่ง 555

ระยะทางรวมรอบๆ ทะเลสาบก็อยู่ที่ 30 กิโลเมตร

ตามเราไปดูวิวกัน คืออากาศมันดีมาก ร่มรื่นสุดๆ ปั่นไปโดนลมที่ปะทะกับหน้าเราก็จะลืมความเหนื่อยได้ในระดับหนึ่งเลยแหละ จากตอนแรกอากาศร้อนไม่อยากปั่น ตอนนี้ขออยู่ต่อเลยได้ไหม อิอิ

ปั่นเสร็จแวะกินไอติม เราก็อ่านไม่ออก ชี้ๆ เอ้าาา!! ได้ไอติมรสสตรอว์เบอร์รี่มา หวานอมเปรี้ยวโคตรอร่อย : )

อ่อ ก่อนอื่นเราได้แวะมาแลก Pass ที่สถานี Shin-Hakodate-Hokuto ก่อน ก็อย่างที่บอก JR East-South Hokkaido Rail Pass ถือว่าเป็นพระเอกของงานนี้เลยทีเดียว ระยะเวลาพาส 6 วัน แบบไม่ต้องใช้ติดกันทุกวันก็ได้ แต่พาสนี้หลังจากที่เปิดใช้ครั้งแรกอยู่ได้ 2 อาทิตย์เน้อ ราคาก็อยู่ที่ 27,000 เยน (หากซื้อล่วงหน้าจากประเทศไทย จะลดเหลือเพียง 26,000 เยนเท่านั้น)

มาดูกันว่าภายในสถานีมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรให้กับเราบ้าง

ในสถานีจะมีร้านขายเบนโตะ ซึ่งราคาไม่แพง รสชาติเยี่ยม ใครที่จะเดินทาง ก็มาแวะซื้อไปกินกัน จะได้ไม่เสียเวลาหาของทานข้างนอก หากต้องเดินทางเร่งด่วน

หลังจากทำภารกิจเสร็จเหนื่อยมาทั้งบ่าย ท้องเราก็ร้องหนัก และหิวมากก ซึ่งใกล้ๆ โรงแรมของเรามีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ ” Ika Sei Daimon ” ร้านนี้มีบรรยากาศแบบญี่ปุ่นมากๆ มาที่นี่เรากินแต่อาหารทะเลสดๆ คือสดมากปลาหมึกยังดึ๊บๆ หวานมากๆ กินแล้วแบบนุ่มละมุนที่สุดเลยโว้ยยยยย เห้ออออ

ได้เบียร์เย็นๆ สักแก้วแล้วจะนอนหลับฝันดี แต่ๆ ตัวนี้แอลกอฮอล์ 0 % นะจ๊ะ

กินอิ่มกันเรียบร้อย ต่อไปนี้เรามีโอกาสขึ้นไปชมวิวที่ กับวิวร้อยล้านนนแสนล้านนหมื่นล้านนนของเมืองในค่ำคืนนี้ สวยแค่ไหนไปดูกันเถอะ !!! //เวลาที่แนะนำคือ ควรขึ้นก่อนช่วงพระอาทิตย์ตก

การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยาก เราจะนั่งรถเมล์ประจำทางของ JR Bus มาลงตรงจุดขึ้นกระเช้า หรือเราจะจองตั๋วรถบัสสำหรับขึ้นลง อันนี้แล้วแต่สะดวกเลยนะ ถ้ามีเวลามากหน่อยก็ขึ้นกระเช้าไปเลย เราแนะนำ

เรารีบหน่อยก็ซื้อตั๋วบัส ซึ่งบัสนั้นฟิกเวลา รถจะจอดได้ไม่เกิน 30 นาทีเพราะเป็นกฎหมายของทางญี่ปุ่น ขึ้นไปถึงต้องบอกก่อนเลยว่าคนเยอะมากจริงๆ เราต้องหามุมเอง อันนี้ถือเป็นความสามารถส่วนบุคคลเลยสำหรับภาพที่จะถ่ายได้ ฮาๆ

คืนที่ 2 สำหรับเรา เราย้ายมาพักในเมืองใกล้ๆ กับสถานี Hakodate ข้อดีของโรงแรมนี้คือ อยู่ไม่ไกลจากสถานี Hakodate ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางโดยรถเมล์ รถราง หรือรถบัส และสำหรับเช้านี้ กินข้าวไปชมวิวเมือง Hakodate ไป เบื่อจังวิวดี้ดี ฮาๆ

วิวจากหน้าต่างห้องสวยประมาณนี้นะท่านผู้ชม 🙂

DAY 3

หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็เดินทางไปที่สถานี Hakodate  เพื่อมุ่งหน้าสู่ Aomori โดยเราจะได้ใช้บริการ JR East-South Hokkaido Rail Pass เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นน ซึ่งเส้นทางนี้ต้องขอบอกว่าเด็ดดวงมากๆ ถ้าอยู่บ้านเราคงเป็น Unseen Thailand ไปแล้ว เพราะสถานีนี้ เพื่อนๆ จะได้นั่งรถไฟลอดใต้ดิน แล้ววิ่งอยู่ใต้ทะเลแบบเก๋สุดๆ เพื่อนๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.jreasthokkaido.com/e/

ซึ่งการเดินทางจากสถาณี Hakodate มาถึง Shin-Aomori ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แบบยังไม่หายตื่นเต้นเลย ฮาๆๆ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ของชีวิตเลยก็ว่าได้

เอาล่ะ ถึงแล้ว Aomori  ที่นี่ยังคงขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล เพราะยังคงอยู่ติดทะเล เราได้มากินมื้อกลางวันกันที่ ” Aomori Ichiba “ คือตลาดปลาของที่นี่นั่นเอง จุดประสงค์หลักๆ ของเราคือมากินข้าวกลางวันกันที่นี่ ฮาาาา

สำหรับ Aomori Ichiba แห่งนี้ เราต้องซื้ออาหารในแบบของการแลกคูปอง คือ 1,300 เยน เขาจะให้มีคูปองเล็กๆ เรามา 10 ใบ สำหรับนำไปแลกข้าว และเลือกหน้าต่างๆ ตามที่เราต้องการ โดยหน้าแต่ละหน้าใครอยากกินอะไรก็เล็งเอาเลยว่าแต่ละอย่างใช้กี่คูปอง

เช่น แซลมอนจะใช้คูปอง 1 ใบ กุ้งใช้ 2 ใบ หอยเม่นใช้ 3 ใบ ทุกๆ ร้านจะติดป้ายแสดงจำนวนคูปองไว้ชัดเจนแบบนี้ ที่เหลือแล้วแต่ใจจะไขว่คว้าเลย ปล. ถ้าคิดว่าไม่พอก็ไปซื้อคูปองเพิ่มได้เน้อ ไม่ว่ากัน 555

เราเดินๆ มาสะดุดกับหอยนางรมสดๆ ตัวโคตรใหญ่ ใหญ่เท่าฝามืออะ อันนี้ซื้อมาในราคา 1,000 เยน

เลือกเสร็จอย่าลืมเอาคูปองใบใหญ่สุดท้ายและท้ายสุดไปแลกน้ำแอปเปิ้ลแสนอร่อย ที่นี่จะมีบริการชั้น 2 สำหรับคนที่นั่งให้เรานั่งกินกัน เพราะชั้น 1 ที่นั่งจะน้อยหน่อย ไปชั้นสองได้เลยจ้า อันนี้ของเราอิ่มสบายใจ จัดหอยนางรมไป 1 ตัว ฮ่าาา

หลังจากกินข้าวกันอิ่มจนพุงกาง เราก็ไปชม ” Nebuta Museum ” กันต่อเลย เมืองนี้เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์มากเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่ เค้าจะมีเทศกาลเนบูตะจัดอยู่ทุกๆ วันที่ๆ 2-7 สิงหาคมของทุกปี และในทุกๆ ปี จะมีการจัดขบวนโคมไฟขนาดมหึมาเพื่อแห่ไปรอบๆ เมือง และมีการประกวดผลงานอีกด้วย ซึ่งเราจะพาไปดูผลงานในปีที่ผ่านมาที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผลงานแต่ละชิ้นบอกได้คำเดียวเลยว่าสุดยอดดดดดดดดด

สำหรับ Nabuta Museum นั้น เปิดบริการตั้งแต่เวลา 9.00 น. -18.00 น. อัตราค่าเข้าก็แค่คนละ 600 เยน ภายในอาคารมี 2 ชั้น สำหรับการเดินทางใครที่จะเอารถมา ก็มีบริการที่จอดรถให้ หรือเดินมาก็ได้ไม่ยากเลย เราแนบลิงค์สำหรับคนที่สนใจรายละเอียดมาให้นะจ๊ะ http://www.nebuta.jp/warasse/

โดยส่วนที่ 1 จะเป็นการจัดแสดงโมเดลย่อส่วนขบวนในงานจากของจริง

เดินต่อมาส่วนที่ 2 อุโมงค์ตรงนี้เล่าถึงรายละเอียดความเป็นมาต่างๆ สวยเลยทีเดียว

ส่วนที่ 3 จัดแสดงของจริงใหญ่มาก น้ำหนักหลายตันเลยแหละ

วันนี้มีนักเรียนมาเยี่ยมชม ร่วมทำกิจกรรมกับที่นี่ เราเองก็ได้ไปเต้นๆ กับเขาด้วย พอมาที่แปลกๆ มีอะไรให้เราทำเราก็ทำไปไม่ต้องอาย มันสนุกมากเลยแหละแก

หลังจากดูการแสดงเสร็จ ใกล้ๆ กันก็ยังมีให้เราได้ไปช้อปปิ้งเดินเล่นที่ ” A-Factory ” ข้างในก็จะมีคาเฟ่ ร้านขนม ที่สำคัญคือของส่วนใหญ่เป็นผลผลิตมาจากแอปเปิ้ล ที่น่าตื่นเต้นคือที่นี่ผลิตไวน์เอง ซึ่งโรงงานนั้นตั้งอยู่ข้างในเลย สุดยอดปะล่ะ ฮาๆ

ลองชิมน้ำแอปเปิ้ล อันนี้อร่อย อร่อยแบบไม่ใช่แอปเปิ้ลแดงบ้านเรา คือไม่รู้จะบอกยังไงดี สรุปคือ อร่อยจ้า 555

แอปเปิ้ลอบแห้งอันนี้ เขาบอกคนชอบซื้อเป็นของฝากกัน

นอกจากข้างในแล้ว ข้างนอกก็สามารถไปเดินเล่นถ่ายรูปชิลๆ ได้เหมือนกัน

เดินชิลเสร็จ ที่นี่มีอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดนั้นก็คือ “Aomori Hotate Goya “ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน คือว่าร้านนี้เราจะเสียตังในราคา 750 เยน เพื่อให้เรามีเวลาอีก 2 นาทีในการตกหอยสแกลล็อป เราว่ามันก็คล้ายหอยเชลล์แต่ตัวโคตรใหญ่อ่ะ ตกได้เยอะก็ได้กินเยอะ แต่ถ้าตกไม่ได้เลยก็ได้กินแค่ 6 ตัว ลุยป่ะล่ะ

พอตกได้เค้าจะเอาไปทำให้ จะเลือกเป็นแบบซาซิมิหรือแบบเผาก็ได้แล้วแต่ชอบ หรือจะกินทั้งสองแบบก็ได้ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าเป็นเรา เราเอาทั้งสองแบบ มาแล้วต้องลองทุกแบบ ๕๕๕๕

เดินไปไม่ไกลกันมากจะเห็นตึกทรงสามเหลี่ยม “ Aomori Prefecture Tourist Center “ ตรงนั้นแหละที่เราจะขึ้นไปดูวิวรอบๆ ของ Aomori กัน ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 800 เยน จุดชมวิวอยู่ที่ชั้น 13 ไปกันเลย !!

ตรงนู้นนไกลๆ เป็นอุโมงค์รถไฟ ที่วิ่งมาจาก Hakodate วิ่งลอดผ่านทะเลมายัง Aomori สุดยอดดดดดดดดด กรี้ดกร๊าดอย่างบอกไม่ถูก อึ้งในเทคโนโลยีและนวัตกรรมของบ้านเค้าจริงๆ เลย

ซึ่งนอกจากจะได้ดูวิวแบบ 360 องศาแล้ว ยังมีห้อง Panorama ให้ได้เข้าชมประวัติและความเป็นมาของเมือง รวมถึงเทศกาลและความสวยงามในฤดูต่างๆ โดยในการแสดงแต่ละรอบนั้น จะใช้เวลา 20 นาที

หิวแล้ววววว ไปกินมื้อสำหรับค่ำคืนนี้ของเรากันดีกว่า และสำหรับร้านในคืนนี้ที่เราเลือกกันคือร้าน  ” Nebutanokunitakakyu ” เป็นร้านที่ทางพี่ๆ ที่เดินทางมาด้วยเค้าแนะนำมา และอาหารเย็นก็จะประมาณนี้

นอกจากจะอิ่มกับอาหารเย็นที่แสนอร่อยแล้ว ที่นี่เขายังมีการแสดงน่ารักๆ โชว์ให้พวกเราได้สนุกสนานกันอีกด้วย

ระหว่างที่เดินทางต่อคืนนี้ที่พักของเรา ” Hotel Sunroute Aomori ” เป็นที่พักอีกที่ที่น่าประทับใจสุดๆ มองไปก็จะเห็นเจ้าตึกสามเหลี่ยมเหมือนภาพในภาพถ่าย วิวดี เตียงนุ่ม เห้อออ ไม่อยากลุกไปไหนเลย T T

DAY 4

ตื่นแต่เช้าไปเที่ยวนอกเมืองกัน ไปดูกันว่าที่นี่เขามีอะไรน่าสนใจ

ซึ่งระหว่างทาง เรามาพักกันที่จุดพักรถ ” Namioka Apple Hill Rest Area ” ใครหิวของหนัก ของเบาก็รองท้องกันไปก่อน ผลไม้ อะไรเยอะแยะไปหมดให้แวะซื้อกินแก้หิวกันระหว่างออกเดินทาง

สำหรับกิจกรรมแรกของวันนี้ เรามาแวะทำกิจกรรมเวิร์คช็อปย้อมคราม ซึ่งราคาสำหรับร่วมกิจกรรมจะมีราคาเริ่มต้นที่ 650 เยน เป็นต้นไป ก็จะได้ผ้าเช็ดหน้ากลับไปแบบนี้ คิดๆ ดูแล้ว ถ้าเอาไปเป็นพร๊อพถ่ายรุปก็คงจะเก๋ไม่ใช่น้อย

ใช้เวลาไม่นาน จิ้มๆ จุ่มๆ ตากๆ แปบเดียวก็เสร็จแล้ว

หลังจากที่ทำผ้าย้อมครามตามแบบที่เราชอบใจ เราก็นั่งรถต่อมาที่ ” Tsuta Onsen Ryokan “ จุดที่น่าสนใจที่โรงแรมนี้คือที่นี่มีออนเซ็นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและสวยงามมาก เค้าว่ากันว่าเป็นธรรมชาติสุดๆ รายละเอียดการเดินทางเพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่ https://www.tohoku-buffet.com/global/  เลยจ้าาาาา!!!

เราได้แค่แวะมาเยี่ยมชมดูเฉยๆ ที่นี่เขาได้รับความนิยมมากๆ จากคนในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวด้วย และได้ข่าวมาว่า ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จะถึงนั้น ห้องพักเต็มยาวไปแล้วจ้าาาาา!!!

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แช่ออนเซ็นให้ตัวเปียกปอนและนอนพักกันที่นี่ในคืนนี้ แต่เราก็มีโอกาสทานมื้อเที่ยงที่นี่แทน อาหารของที่นี่รสชาติเลิศมากๆ เราชอบปลาน้ำจืดย่าง บีบเลมอนคลุกเคล้าเข้าไปก่อนกิน อร่อยยยยยยย อร่อยสุดๆ อย่าบอกใครเลยล่ะ ฮาๆๆ

นอกจากนั้นเราสามารถมาเดินเล่นชมบรรยากาศทะเลสาบของที่นี่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าขนาดไม่ได้มาพักและซึมซับกับพื้นที่แค่บางส่วนของที่นี่ ก็ทำให้ re-boots พลังกลับคืนมาได้ไม่น้อย

เดินมา 10 นาทีเราก็จะเจอวิวแบบนี้ ลองหลับตานึกดูว่าข้างหน้าเป็นใบไม้สีแดง สีส้ม สีเหลือง แมร่งโคตรสวย ขนาดตอนนี้ยังสวยเลย หากมีโอกาสก็อยากกลับมาที่นี่ และนอนที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจริงๆ

เสร็จจากตรงนี้ เราเดินทางไปที่ ” Towada “ เพื่อล่องเรือกลางทะเลสาบกัน ซึ่งตอนเรามายังไม่ได้มาช่วงพีคของที่นี่นะ แต่สำหรับเรา ความเขียวของนี้ก็กินใจเราไปเกินครึ่งแล้วโว้ยยยยย และคงไม่ต้องพูดถึงช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรอก เพื่อนๆ ลองจินตนาการภาพในหัวเอาเองได้เลย

บอกแล้วที่นี่ธรรมชาติเยอะ นอกจากทะเลสาบแล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินสายธรรมชาติที่เลาะลำธาร Oirase ไปตลอดทั้งเส้นทาง โดยเราสามารถนั่งรถไปมีจุดไหนที่สามารถจอดได้ แล้วก็เดินลงไปถ่ายรูป มีทั้งน้ำตกน้อยใหญ่ แม่น้ำลำธารเต็มไปหมดเลย แต่สำหรับจุดชมวิวธรรมชาติแห่งนี้ ไม่อนุญาตให้เล่นน้ำนะจ๊ะ เพื่อเป็นการรักษาธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้

สำหรับคืนนี้เราพักกันที่ ” HOTEL JOGAKURA “ บรรยากาศก็จะคล้ายๆ นอกเมืองของบ้านเรา คือช่วงที่ไปโชคดีที่อากาศไม่ได้ร้อนมาก มีลมเย็นๆ ตลอดทั้งคืน แต่ก็น่าเสียดายที่คืนนั้นเมฆเยอะไปหน่อย เราเลยอดออกมาถ่ายดาวกัน

มื้อค่ำคืนนี้หม้อไฟเนื้อ กินซีฟู๊ดมาเยอะก็เริ่มคิดถึงเนื้อขึ้นมา คิดถึงเนื้อ เนื้อก็มาจริงๆๆ ฮ่าาา

DAY 5

เมื่อคืนหลับสบายมากกกก บวกกับอาการเหนื่อยเพลียที่ซนกันมาทั้งวัน เช้านี้หลังจากลงไปแช่ออนเซ็นเสร็จ ก็ขึ้นมาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม พี่ๆ แอบแนะนำว่าข้าวแกงกะหรี่แอปเปิ้ลอร่อยมากกกกกกกเลยจัดมาจ้าาา สรุปเห้ยยยย อร่อยจริงๆ 3 ผ่านไปเลย

หลังจากกินข้าวเสร็จ เราจะไปเป็นสายอาร์ทกัน ที่ “ Aomori Museum Of Ari “ เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีเอกลักษณ์สุดๆ จุดเด่นคือมีสีขาว ผสมกับสีน้ำตาล เรารู้สึกถึงความสวยงามข้างในแบบใช้กล้องอะไรถ่ายก็สวย บวกกับวันนี้เป็นวันของพวกเรา เพราะท้องฟ้าโคตรรรรใส

บริเวณภายในจะมีห้องโถงใหญ่สำหรับจัดแสดงผลงาน ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป โดยภายในจะมีบางส่วนไม่สามารถถ่ายรูปได้เน้อ เพราะฉะนั้น เราจะเก็บกลับมาได้เพียงความทรงจำ ส่วนข้างในนั้นคืออะไร ต้องหาเวลาไปดูกันเอง

เราเดินไปเรื่อยก็จะเจอเจ้าหมาตัวใหญ่ กับถ้วยอาหารของมัน อยู่ภายนอกตัวอาคาร ทำไมเรารู้สึกดีกับการเจอกันครั้งนี้ไม่รู้ ฮาๆ

บริเวณทางออกจะมีที่จับจ่ายซื้อของไปลองเดินเล่นกันดูน๊าาา

เอาล่ะ เสร็จจากพิพิธภัณฑ์หรรษา ก็นั่งรถมาไม่ไกลประมาณ 10 นาที เราก็มาถึงที่นี่เลย ” Sannai-Maruyama site ” สำหรับตรงนี้จะแสดงอารยธรรมโบราณที่ขุดพบขึ้นในบริเวณนั้น ให้เราได้เดินเล่นเดินชมกัน แดดร้อนหน่อยอย่าลืมหยิบร่มกันเด้อออออ

ตรงนี้เเป็นร่องรอยของเสาจริงๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่

ส่วนอันนี้คือสิ่งที่สร้างมาเสมือนของจริงให้เราได้ดูกัน

หมดเวลาแล้วสิ ถึงเวลาต้องโบกมือลา Aomori กันแล้ว และสถานีต่อไป เราจะพาเพื่อนๆ เข้าเมืองกันบ้าง เอาล่ะ สวัสดี ” SENDAI ” ที่ฉันรัก เมืองสุดท้ายสำหรับทริปใหญ่ทริปนี้

Sendai

เมืองเซนได เป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน เป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงแม้ว่าเซนไดจะเป็นเมืองใหญ่และทันสมัย แต่ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ของเมืองได้ผสมผสานกับธรรมชาติอย่างได้สมดุล แม่น้ำฮิโรเซะที่ไหลผ่านกลางเมืองเซนไดและต้นเคยะคิที่เขียวชอุ่มเป็นแนวตลอดถนน เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่น่าสนใจ ถนนที่มีต้นไม้เรียงราย และ สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยสีเขียว ทำให้เซนไดได้ฉายาว่าเป็นเมืองแห่งต้นไม้นั่นเอง

เรามาถึงเก็บของเข้าที่พัก เราก็ได้มาเดินเล่นกันแบบชิลๆ ทอดน่อง ก่อนทานข้าวเย็นกัน ห้างก็อยู่รอบๆ ที่พักเราเลย เลือกเอาเลยเดินห้างนี้ไปห้างนู้น ซื้อนู่นกินนี่ มีให้เลือกเต็มไปหมด

มาถึงแหล่งช้อป ก็จะพาไปตะลุยในย่านช้อปย่านของทาน ไปดูกันว่ามีไรให้เราเลือกสรร แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าเยอะมากๆ เริ่มกันที่ย่าน “ Ichibancho Shopping Arcade ” คนที่นี่ก็จะแต่งตัวธรรมดาไม่ได้แฟชั่นจัด เดินไปเราสังเกตการแต่งตัวของคนที่นี่ เรารู้สึกว่าชอบการแต่งตัวของคนที่นี่ มองไปทางไหนก็น่ารัก

แวะมาร้านนี้ไอติมโมจิถั่วเขียวที่เค้าบอกว่าโคตรอร่อยย ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะมาก ช่วงพีคๆ ต้องต่อคิวยาวเลยแหละ

พอเดินเสร็จจากแหล่งเสียตังค์เรามาแวะ ทานข้าวกันที่ร้าน ” Steak House Iseya Sendai Ushi ” ร้านนี้จะอยู่ชั้นล่างของสถานี Sendai เป็นร้านที่สเต็กเนื้ออร่อยระดับ A5 นี่เอาจริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไงไอ้ A5 อ่ะ รู้แค่ว่าอร่อยโคตรรรรรร

มื้อเย็นผ่านไป หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนเราก็เดินกลับที่พักของเราคืนนี้ ” Hotel Metropolitan Sendai “ อยู่ใกล้สถานีนิดเดียว คำว่านิดเดียวเนี๊ยออกมาจากสถานีมองมาซ้ายมือเป็นที่พัก นั้นเอง 555+

เราว่าวิวห้องเราโคตรสวยยยย ยังไงสำหรับคืนนี้ เราขอตัวไปพักผ่อนก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้ามาเล่าเรื่องราวสำหรับทริปนี้ให้ฟังกันต่อ บ๊ะบายยยย ฝันดีนะ : )

DAY 6

เมื่อคืนเราหลับสบายมากกกก ตื่นสายหน่อยๆ มาเติมพลังด้วยอาหารเช้า สำหรับวันนี้ เรามีแพลนท่องเที่ยวเต็มตลอดทั้งวัน จะไปไหนบ้าง ตามกันมาเลย

ก่อนไปเราแวะไหว้ ” Sendai Daikannon ” เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่มีความสูง 100 เมตร ภายในมีรูปปั้นพระพุทธรูป 108 องค์ เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในได้ ซึ่งภายในมีทั้งหมด 12 ชั้น

ชั้นที่เราอยู่ตรงนี้คือหัวใจของเจ้าแม่กวนอิม

รถไฟปู๊นๆๆ ไปเที่ยวกันเถอะ หลังจากไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จ เรานั่งรถไฟจากสถานี Sendai ไปยังสถานี Matsushima-Kaigan ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที เรามาถึงตลาดปลา ”  Matsushima “

เรามาถึงตอนเที่ยงพอดี ก็เดินไปหาของกินกันดีกว่า บ้าไปแล้ว นี่มันทริปกินจริงๆ ที่ตลาดปลา Matsushima เดินไปไม่ไกลมากจากสถานีประมาณ 15 นาทีเราก็จะเจอกับของอร่อยให้ได้เลือกซื้อเต็มไปหมด

ตลาดปลาที่นี่มี 2 ชั้น ชั้นแรกเน้นขายของสดและอาหารแช่แข็ง

ส่วนชั้น 2 เป็นที่กินข้าวของเราเอง มีบริเวณสำหรับให้ชื้อข้าวแล้วมานั่งกินกัน สดอร่อยทุกอย่างอะ กินไปฟินไป

ที่นี่มีของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งที่มาแล้วไม่ควรพลาดที่เรียกว่า Sasa Kamaboko มันจะมีลักษณะแบบว่าเอาเนื้อปลาหลายๆ ตัวมาบดรวมกัน แล้วเอามาย่าง แม่งโคตรหอม โคตรนุ่ม อร่อยมากๆ ย่างเองกินเองโคตรฟินเล้ยยยย มาลองที่ร้าน ” Matsushima Kamaboko Honpo “ อยู่เยื้องๆ กับท่าเรือ หาไม่ยาก

ใกล้ๆ ก่อนที่เราจะล่องเรือ เรายังพอมีเวลาไปไหว้ยังมีศาลเจ้าที่ชื่อว่า ” Gadaido ” จุดเด่นมีสะพานสีแดงทอดยาวไปจนถึงทางเข้าศาลเจ้า

หลังจากไหว้ศาลเจ้าเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินมาตรงท่าเรือที่อยู่ใกล้ๆ แล้วนั่งเรือชมวิวทะเลสาบ นั่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 50 นาที เราจะมาโผล่อีกฝั่งหนึ่ง

เรือจะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้น 1 อยู่ที่ราคา 700 เยน ชั้น 2 ที่เป็นชั้นแอร์ 1,500 เยน จากชั้น 2 เราสามารถขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อที่จะชิค จะชิลอะไรก็ได้หมดอะ 5555

50 นาที ผ่านไปไวเหมือนโกหก เรือพาเราล่องมาถึงอีกฝั่ง พอมาถึงก็เจอไอติมไม่หิวแค่อยากกินโว้ยยยย

ไม่นานรถไฟก็มา เรานั่งกลับ Sendai ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที เพื่อกลับไป สถานี Sendai

พอมาถึงเราพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เลยแวะมากันที่คาเฟ่นกฮูกด้วย ” Owl Café ” ซึ่งอยู่ในแหล่งช้อปที่เราไปเดินเล่นมาเมื่อวานนี้

มาแล้วอันดับแรกต้องเปลี่ยนรองเท้า เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย อ่านกฎข้อห้ามต่างๆ แล้วปฏิบัติตามด้วยนะจ๊ะ

แถวย่านนี้มีร้านอร่อยๆ เยอะแยะ เราฝากท้องกันที่นี่เลย ” Sumiyaki Gyutan Higashiyama, Sendai Honten “ ต้องขอบอกว่าร้านนี้เด็ดมาก มีเมนูเด็ด คือสเต็กลิ้นวัว ปกติก็ไม่เคยกิน เอาวะ มาทั้งทีกินให้หมดทุกอย่าง ทำไปทำมารสชาติดีใช้ได้เลยแหละ และแบบกินไปจิบเบียร์ไป โออิชิ ที่สุ๊ดดดดด

DAY 7

เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับเราไปเดินเล่นแวะเวียนตลาดเช้าอย่าง ” Sendai Morning Market ” ตลาดของสดที่นี่เราเดินไปจะเจอผักกาดขาวยักษ์ หอมยักษ์ พริกยักษ์ งี้ เต็มไปหมด

หลังจากเดินเล่นเสร็จเราเดินกลับมาเพื่อเตรียมตัวกลับเก็บสัมภาระเพื่อเดินมายังสถานี JR Sendai Travel Service Center  ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเรามากนัก ที่นี่เราจะซื้อของฝากและหาข้าวกินกันที่สถานีก่อนออกเดินทางกลับ

เราเดินไปสะดุดตากับน้ำถั่วเขียวนม คือเราเห็นคนเดินถือแก้วแบบนี้เราเลยลองกันบ้าง เห้ย ! ! พอลองกินดูแล้วอร่อยว่ะ

ก่อนกลับเรายังพอมีเวลาเหลืออยู่ประมาณชั่วโมงกว่า เลยแวะกินราเม็งร้านอร่อย อยู่บริเวณชั้นล่างของสถานี เป็นแหล่งรวมของกินเลยแหละ ทำไมรู้สึกว่ามีแต่กินกับกินวะเนี่ย กินตั้งแต่วันแรกจนวันกลับยังกินไม่หยุดเลย ๕๕๕

จบละปิด job กลับบ้านกัน 7 วันที่ญี่ปุ่นกับภาพสวยๆ ที่เอามาฝาก เดินทางกลับไปขึ้นรถไฟที่โตเกียวเราใช้เวลาเดินทางจากสถานี Sendai ไป Tokyo 1 ชั่วโมง และเดินทางกลับอย่างปลอดภัย การเดินทางในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ JR East-South Hokkaido Rail Pass ที่ดูแลเราตลอดการเดินทาง ให้เรากินอิ่ม นอนอุ่น หุ่นไม่เกี่ยว และเอาประสบการณ์ 7 วัน มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกันแล้วเจอกันระหว่างทาง…

Exit mobile version