Site icon PALAPILII-THAILAND

เที่ยวตามอารมณ์เหนือฝัน ของเชียงใหม่ในฤดูฝน [ โ ค ร ง ก า ร ห ล ว ง บ น ด อ ย อิ น ท น น ท์ ]

เที่ยวตามอารมณ์เหนือฝัน ของเชียงใหม่ในฤดูฝน [ โ ค ร ง ก า ร ห ล ว ง บ น ด อ ย อิ น ท น น ท์ ]

บางที… ชีวิตมนุษย์ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ หรือพนักงานประจำอย่างเราๆ ที่ต้องตอกบัตรเข้าตอนเช้าออกตอนเย็น ทำตามกฏระเบียบข้อบังคับขององค์กร และถูกกดดันจากทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ลูกค้า ลูกทีม เพื่อให้งานมันเสร็จสมบูรณ์อย่างที่มันควรจะเป็นนั้นก็เหนื่อยใจไม่น้อย ไหนจะต้องถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันถึงหน้าที่การงานและหน้าตาทางสังคมอีก ชีวิตของคนๆ หนึ่งมันไม่ง่ายเลย ภายนอกอาจดูสดใส สนุกสนาน แต่ภายในใครจะรู้ เราเชื่อว่าทุกคนต้องมีเรื่องที่ท้อและเบื่อหน่ายกับชีวิตจำเจบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ในบางโมเม้นท์ของเราก็อยากจะออกไปจากที่เดิมๆ ห้องเดิมๆ ออกไปหาแรงบันดาลใจ ให้ชีวิตเราได้ไปเจออะไรใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ การไปหาแรงบันดาลใจ และเติมไฟให้กับชีวิตที่ภาคเหนือตอนฤดูฝน มันคงเป็นเรื่องดีไม่น้อย…

การท่องเที่ยวภาคเหนือในฤดูฝนครั้งนี้ มันเกิดจากความรู้สึกที่ขาด challenge บางอย่าง ซึ่งเป็นความท้าทายที่ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่การงานหรืองานประจำที่ทำอยู่ แต่มันเป็นความท้าทาย ความฝัน ความสนุกและการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต อยากให้กราฟชีวิตมันเปลี่ยนไปจากเส้นตรงเดิมๆ ที่เป็นอยู่ให้มันวิ่งขึ้นวิ่งลงเหมือนกราฟหัวใจของคนที่มีไฟบ้าง แล้วยิ่งได้ดูเอ็มวี “เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ” ก็ยิ่งเกิดแรงบันดาลใจอยากจะออกไปทำอะไรสักอย่างที่มันน่าจะตอบอารมณ์ในตอนนั้น ซึ่งปลายทางของทริปนี้ก็คือ ” ด อ ย อิ น ท น น ท์ ”

การเดินทางขึ้นดอยอินทนนท์นั้นมีอยู่ไม่กี่อย่างครับ คือโบกรถ ขึ้นรถเหลือง รถส่วนตัว กับเช่ามอไซต์ขับขึ้นไป แต่อย่างว่าละนะ วัยรุ่นอย่างเรา หรือกลุ่มคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มร้อยแบบสนุกๆ ก็ไม่พ้นการเช่ามอเตอร์ไซต์ขับแน่นอน เพราะจะจอดตรงไหน เมื่อไหร่ เข้าซอยเล็กขนาดไหนก็ได้ ทริปนี้พวกเราเลยใช้ยานพาหนะเป็นมอเตอร์ไซต์คันโก้ที่เช่าก่อนทางขึ้นดอยอินทนนท์ครับ

แต่ก่อนจะขึ้นดอยอินทนนท์เนี่ย ก็ต้องเดินทางมา จ.เชียงใหม่ก่อนใช่ไหมล่ะ ทีนี้การเดินทาง มา อ.จอมทอง ปากทางขึ้นดอยอินทนนท์เนี่ย มันมีรถบัสของ บขส.วิ่งมาจอดที่นี่เลยครับ คือไม่จำเป็นต้องนั่งบัสมาลงเชียงใหม่แล้วต่อรถมา หรือบินมาลงเชียงใหม่แล้วต่อรถมา ไม่ต้องเลย แค่จองรถ เชียงใหม่ – จอมทอง ราคาไม่ถึง 500 บาท ก็เดินทางมาถึงทางขึ้นดอยอินทนนอย่างง่ายดาย

เหตุผลที่เลือกวิธีนี้ให้ก็เพราะ เวลาเดินรถ 9 ชั่วโมง เดินทางตอนดึก เหมือนเปลี่ยนที่นอนเป็นที่นอนเคลื่อนที่สบายๆ ตื่นเช้ามาอีกวัน ทางขึ้นดอยฯ ก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว หากแพลนจะไปเที่ยวในเมืองต่อ ก็จองแค่ขามาก็ได้ แล้วขากลับ ก็จองกลับจากเชียงใหม่ไปจังหวัดที่ตัวเองต้องการ ดูสิ เดินทางง่ายสุดๆ ยังไงลองเข้าไปจองได้ที่ http://www.pns-allthai.com/pns_bs/

เอาล่ะ ผมได้แนะนำการเดินทางคร่าวๆ ให้เพื่อนๆ แล้ว ส่วนเพื่อนๆ จะเดินทางกันมาแบบไหน ให้ใช้ความเหมาะสมและความพร้อมของเพื่อนๆ แต่ละคนเองเลยครับ สะดวกแบบไหน จัดแบบนั้น แต่ตอนนี้หวังว่าทุกคนจะถึงเชียงใหม่กันแล้ว งั้นผมขอตัดมาที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ตอนที่ผมก้าวขาลงมาจาก รถ บขส. 999 ก่อนเลยแล้วกัน ถ้าพร้อมแล้ว ลุย!!!

หลังจากที่เพื่อนๆ เดินทางมาถึง อ.จอมทอง ก็หารถมอเตอร์ไซต์เช่าได้บริเวณตัวอำเภอครับ มีอยู่หลายเจ้า ถ้าหาไม่เจอให้ถามคนพื้นที่เลย หรือหากใครขับมอเตอร์ไซต์ไม่เป็น ก็ใช้บริการรถเหลืองขึ้นดอยได้ แต่ก็อาจจะแวะตามใจชอบไม่ได้สักเท่าไหร่

กลับมาที่ทางของเราครับ รถมอเตอร์ไซต์เช่าที่นั้น จะตกอยู่ที่ราคา 200 – 300 บาท แล้วแต่รุ่นครับ สำหรับทางขึ้นดอยอินทนนท์ เอา Automatic ก็ได้ครับ ขึ้นได้เหมือนกัน หลังจากที่เราได้รถแล้ว เราก็เริ่มเก็บแต้มเก็บแรงบันดาลใจไปกับที่แรกของเรากันเลย!!!

น้ำตกแม่ยะ

น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของไทยเลยนะ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยมากกกก มีขนาดใหญ่ที่สุด สวยที่สุด และสูงที่สุดของบรรดาน้ำตกในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ คือจะบอกว่าไม่ควรพลาดมากๆ ยิ่งไปหน้าฝนยิ่งพีคคคค!!!

ที่นี่เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของประเทศไทยก่อนมีการค้นพบน้ำตกทีลอซู ที่จังหวัดตากด้วย สายน้ำจากลำห้วยแม่ยะจะตกจากหน้าผาสูงชันไหลลดหลั่นลงมาประมาณ 30 ชั้น รวมความสูง กว่า 260 เมตร ซึ่งในช่วงฤดูฝนสายน้ำตกจะแผ่กว้างถึงราวๆ 100 เมตร เหมือนกับม่านน้ำ แล้วไหลลงไปรวมกันที่แอ่งน้ำเบื้องล่างแบบสวยมากกกก อยากให้ลองแวะเข้าไปดูกันครับ

น้ำตกแม่กลาง

ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่เล่นน้ำที่มีชื่อเสียงและมีความงดงามแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ ถือได้ว่าเป็นจุดแรกของประตูเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ด้วยสายน้ำอันเย็นฉ่ำที่ตกผ่านหน้าผาขนาดใหญ่ (น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตร) ไหลมาสู่โกรกเขา เป็นแอ่งน้ำที่มีชื่อว่า ” วังน้อย ” และ ” วังหลวง ”

ซึ่งบริเวณนี้อย่างที่บอกว่าสามารถเล่นน้ำได้ ชาวบ้านเค้าก็มาทำซุ้มขายอาหารเป็นศาลาเล็กๆ ริมน้ำครับ ขายอาหารกันไป แถมยังมีห่วงยางให้เช่าเพื่อไหลไปตามธารน้ำตกอีกด้วย เรียกได้ว่าสนุกสุดๆ เลยล่ะ ก็ถ้าหลังจากที่เดินทางไปเที่ยวชมความสวยงามของน้ำตกแม่ยะ ก็อยากให้มาแวะพักทานอาหารกลางวันกันที่นี่…

น้ำตกวชิรธาร

หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงเสร็จ ขับต่อมาอีกไม่นานมากเห็นป้าย “น้ำตกวชิรธาร” เมื่อไหร่ ให้รีบตีไฟเลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวเข้าซอยไปเลย ที่นี่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ “ตาดฆ้องโยง”  ตัวน้ำตกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 750 เมตร น้ำจะดิ่งจากผาด้านบน ตกลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างบวกกับเสียงกระทบของน้ำ ทำให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่มากๆ

ในช่วงที่มีน้ำมากละอองน้ำจะสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเย็นและชุ่มชื้น มีสะพานไม้ทอดยาวเข้าไปหาหน้าผา หากเดินเข้าไปจนสุดจากจุดนั้นจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำตกมากที่สุด และตรงข้ามน้ำตกจะมีหน้าผาสูงชัน เรียกว่า “ผาม่อนแก้ว” ครับ ซึ่งหากมาช่วงบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น ขอการันตีว่าเพื่อนๆ จะได้เห็นรุ้งกินน้ำที่สวยเป็นวงกลม 360 องศาเลยล่ะ

น้ำตกผาดอกเสี้ยว (บ้านแม่กลางหลวง)

กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ ก็คงจะเย็นแล้วล่ะครับ ขับต่อจากน้ำตกวชิรธารมาเรื่อยๆ จนไปถึง กม. 26 เพื่อนๆ จะเห็นหมู่บ้านหนึ่งชื่อ “บ้านแม่กลางหลวง” ให้เลี้ยวรถเข้าไป (อยู่ทางซ้ายมือ) สำหรับใครที่เหนื่อยหรือหมดแรงก็สามารถนอนพักที่นี่ได้ครับ โดยการหาห้องพักกับชาวบ้านได้เลย หรือไม่ก็ขับต่อเข้าไปอีกนิด จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวชุมชนอยู่ ซึ่งดูแลโดยคุณน้าสมศักด์ครับ หมู่บ้านนี้ ใช้ชีวิตตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยึดหลักคำสอนเป็นแบบแผนการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามพระราชดำรัส

ในหมู่บ้านแม่กลางหลวงมีกิจกรรมให้ทำมากมายครับ ผมเลยแนะนำให้พักที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นจับปลา ดำนา เกี่ยวข้าว (แล้วแต่ฤดู) ทำกาแฟสด อันนี้ยอดฮิตมากๆ หรือแม้กระทั่งคั่วกาแฟ ที่นี่จะพานักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับคนในพื้นที่และวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างแท้จริง โดยมีคุณน้าสมศักดิ์นี่แหละ ที่คอยให้ข้อมูลและความรู้แก่เรา แกจะพูดเยอะหน่อย แต่ที่แกพูดมา บางทีก็เถียงไม่ออกเหมือนกัน

และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับกิจกรรมของหมู่บ้านแห่งนี้คือการเดินเข้าป่าราวๆ 3 กิโลเมตร ไปตามหาน้ำตกครับ ซึ่งน้ำตกแห่งนี้จะต้องจ้างชาวบ้านด้วยเงิน 200 บาท ให้นำทางเข้าไป น้ำตกแห่งนี้เคยมีชื่อเสียงมากหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง ” รักจัง ” ได้ออกฉายไป (ผมจำได้ว่าเป็นเรื่องแรกที่ดูกับแฟนเก่าผม ฮาๆ) และที่นี่ก็คือ “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” มีทั้งหมด 10 ชั้น โดยชั้นที่ชมได้สะดวกคือ ชั้นที่ 6, 7, 8, 9 และ 10 แต่ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเยือนคือน้ำตกผาดอกเสี้ยว ชั้นที่ 7 เพราะสายน้ำจากน้ำตกชั้นบน ไหลตกลงมากระทบน้ำตก ชั้นล่าง เป็นสายสีขาว ฟูฟ่อง สวยเกินบรรยาย อีกทั้งยังมีสะพานไม้สำหรับเดินข้ามลำธาร ที่ช่วยทำให้ความสวยงามของน้ำตก ผาดอกเสี้ยวน่ามองเข้าไปอีกกกก เรียกว่าลงตัวสุดๆ

ยังไงสำหรับใครที่พักผ่อนที่นี่ ก็ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ แล้วเดี๋ยวตีสี่ตีห้า รีบตื่นเช้าขึ้นมา ขับรถกันต่อ ไปชมทะเลหมอกที่จุดชมวิวกิ่วแม่ปานกัน…

จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน

ที่นี่เป็นอีกที่ที่ห้ามพลาด สำหรับคนที่มานอนค้างบริเวณดอยอินทนนท์แห่งนี้ครับ ไม่ว่าจะนอนบ้านแม่กลางหลวง ลานสน หรือที่ไหนๆ กิ่วแม่ปานแห่งนี้ ก็เป็นจุดศูนย์รวมเดียวสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าแรกของวันครับ ซึ่งจริงๆ แล้วจุดชมวิวกิ่วแม่ปานเนี่ย เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น เป็นวงรอบระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตร จาก ระดับน้ำทะเลถือ เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามอีกจุดหนึ่งของดอยอินททนท์ แต่ๆๆๆๆๆ หน้าฝนไม่สามารถเข้าไปชมได้นะครับ เพราะทางเดินจะลื่นมากกกก

เส้นทางช่วงแรกก็จะครึ้มๆ หน่อย มีแสงแดดส่องลงมานิดๆ ตามพื้นป่าเต็มไปด้วยเฟิร์นหลากหลายชนิด มีมอสสีเขียวขึ้นคลุมตามโคนต้นไม้และบริเวณริมห้วยที่ชุ่มชื้น จะเดินขึ้นเขาจนทะลุออกไปยังทุ่งหญ้าโล่งกว้างของสันกิ่วแม่ปาน ถัดจากจุดชมวิวไปจะเป็นทางเดินเลียบไปตามสันเขาเลียบหน้าผา มีความกว้างประมาณ 1 เมตร ซึ่งจะสามารถเดินได้เพียงคนเดียว จึงเป็นที่มาของชื่อ “กิ่วแม่ปาน” เพื่อนๆ จะได้พบกับความงามที่อิ่มอกอิ่มใจกันเลยล่ะ แต่ต้องมาหน้าหนาวนะ!!!

นอกจากนี้แล้วจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่สันเขานี้คือ “ ต้นกุหลาบพันปี ” สีแดงสด ออกดอกให้ได้ชื่นชมกันในช่วงฤดูหนาว และถ้าหากโชคดี เพื่อนๆ อาจได้เห็นกวางผา (เป็นสัตว์สงวนหายากที่ใกล้สูญพันธุ์) ตามริมหน้าผาแห่งนี้ด้วยล่ะ

จุดสูงสุดดอยอินทนนท์

ถ้าหน้าหนาว กว่าจะเดินชมรูปกิ่วแม่ปานเสร็จก็อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่ถ้าหน้าฝนนะหรอ หลังจากดูทะเลหมอกเสร็จ ก็สามารถขับรถต่อขึ้นมาที่จุดสูงสุดดอยอินทนนท์ได้เลย และหน้าฝนมีดีอยู่ตรงนี้ คนน้อยครับ ถ้าหน้าหนาวละก็ รถจะจอดกันให้พรึ๊บเลยล่ะ ที่นี่เดิมมีชื่อว่า “ดอยหลวง” หรือ “ดอยอ่างกา” ครับ

สิ่งที่น่าสนใจของดอยนี้ไม่เพียงแต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศที่ความสูง 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่านั้น แต่สภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวัน จึงทำให้ในบางครั้งน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง หรือ”  แม่คะนิ้ง ”  สิ่งต่างๆ เหล่านี้เองที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ใครหลายคนเดินทางมาที่นี่ เฉพาะตัวผมเองเนี่ย ก็ปาไปสองรอบแล้วครับ ฮาๆ

โครงการหลวง “ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ “

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่ต้องการจะช่วยเหลือชาวไทยภูเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงบนดอยอินทนนท์ ให้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่ฝิ่นและไร่เลื่อนลอยที่ทำลายป่าไม้และต้นน้ำ มาปลูกพืชพรรณเมืองหนาว ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอย่างถูกวิธีโดยเจ้าหน้าที่ของสถานี จึงทำให้เกิดโครงการดีๆ แบบนี้ขึ้น

และด้วยความที่เป็นสถานีเกษตรหลวง ที่นี่จึงเน้นไปที่งานวิจัยขยายพันธุ์พืชและงานผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งที่เด่นๆ ก็เห็นจะเป็น งานวิจัยปลาเรนโบว์เทราต์ของกรมประมงครับ โดยที่นี่เป็นที่เดียวในประเทศไทยที่สามารถเพาะเลี้ยงปลาเรนโบว์เทราต์ได้ นอกจากนี้ยังมีกุ้งก้ามแดง สัตว์น้ำจืดเขตหนาวที่มีรสชาติอร่อยคล้ายเนื้อปูอีกด้วย

จริงๆ แล้วการท่องเที่ยวสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์อาจเริ่มต้นที่บริเวณสถานีหลักบ้านขุนกลาง ซึ่งมีการจัดภูมิทัศน์อย่างสวยงาม มีจุดชมวิวเผยให้เห็นบ้านขุนกลางและน้ำตกสิริภูมิ ซึ่งน้ำตกแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีสามารถเดินถึงกันได้ มีสวนหลวงสิริภูมิที่มีเส้นทางเดิน 500 เมตร ท่ามกลางพรรณไม้และความชุ่มฉ่ำของธารน้ำจากน้ำตกสิริภูมิ เพื่อนๆ จะมองเห็นหน้าผาของน้ำตกสิริภูมิโดดเด่นแต่ไกลตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปชมน้ำตกเลยล่ะ

ซึ่งสวน 80 พรรษา จัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ตกแต่งด้วยกุหลาบพันปีและพรรณไม้ตามฤดูกาล โรงเรียนหลายๆ โรงเรียนได้รวบรวมและจัดแสดงเฟินมากมายไปด้วยเฟินกว่า 50 สกุล 140 ชนิด นอกจากนี้ภายในสวนยังมีการแสดงพืชกินสัตว์ เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง พิงกุย และซาราซีเนียชนิดต่าง ๆ อีกด้วย หรือแม้กระทั่งสวนกุหลาบพันปีก็ยังมีอยู่ในสวนแห่งนี้

และเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นจุดทานอาหารช่วงเช้าสายๆ หรือเที่ยงๆ ของเพื่อนๆ แน่นอน ในโครงการหลวงแห่งนี้ มีร้านอาหารและคาเฟ่ที่ใช้วัตถุดิบจากการเลี้ยงและปลูกจากโครงการหลวงมาทำขายให้เราได้ซื้อทานกัน เมนูที่ไม่ควรพลาดสำหรับครัวแห่งนี้ จะเป็นเมนูปลาเรนโบว์เทราต์และผักสดปลอดสารพิษของโครงการหลวงครับ

จบจากการทานอาหารอิ่มก็ อย่าลืมชิมกาแฟสดของโครงการหลวง หรือจะเป็นชาเย็นใส่แก้วกระดาษปราศจากสิ่งทำลายธรรมชาติจากเคเฟ่ในโครงการ รสชาติก็ฟินได้อย่างดิบดีทีเดียว สุดท้ายก่อนกลับบ้าน อย่าลืมซื้อไม้ดอกเมืองหนาว รวมทั้งสินค้าที่ระลึกฝีมือชาวไทยภูเขาไปฝากให้เพื่อนๆ ด้วย แถมยังช่วยชุมชนที่นี่มีรายได้ในการใช้จ่ายหมุนเวียนอีกด้วย

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการติดต่อกับสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ สามารถติดต่อได้ที่ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ บ้านขุนกลาง หมู่ 7 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160 หรือโทร 0 5328 6777-8, 08 1952 2012 และ 08 0769 1944 ครับผม

และนี่ก็เป็นแพลนคร่าวๆ สำหรับการเดินทางมาเที่ยวดอยอินทนนท์ฉบับหน้าฝนปนหนาวมาให้เพื่อนๆ ได้ตามรอยกันนะครับ แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง อย่างเช่น “หมู่บ้านแม่กลางหลวง” ก็ได้ทำให้ผมเห็นถึงสิ่งดีๆ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณน้าสมศักดิ์ (หัวหน้าการท่องเที่ยว หมู่บ้านแม่กลางหลวง) เขาได้ยึดหลักการเกษตรยั่งยืน ตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน และสร้างรายได้ให้กับชุมชน มากไปกว่านั้นยังได้เห็นความรักที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงห่วงใย ตั้งใจทำโครงการหลวง ให้กับชาวนาชาวไร่บนเขา หรือแม้กระทั่ง ชนเผาชาวเมืองที่แม้ในสมัยนั้ันไม่ได้รับเชื้อชาติไทย แต่ท่านก็ยังทรงห่วงใย เตรียมการ และพัฒนาวิจัย สิ่งที่สามารถจะทำให้ประชากรที่อยู่บนนั้นเกิดรายได้ให้กับตนเอง โดยไม่หันไปปลูกฝิ่นหรือค้ายาเสพย์ติดอย่างที่เคยเป็นมา ท่านรักและห่วงใยคนทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินของท่าน

ก็นั่นแหละครับ… จะทำให้เราไม่คิดถึงพระองค์ท่านได้อย่างไร และไม่ว่าหน้าหนาวหรือหน้าฝน เชียงใหม่ยังคงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และมากไปกว่านั้น โครงการหลวงที่ผมเอ่ยถึง เป็นเพียงโครงการหลวงเพียงที่เดียวในจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้นครับ ยังมีอีกหลายสิบ หลายร้อยโครงการหลวงที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงทำไว้ หากมีโอกาส อยากให้เพื่อนๆ เดินทางไปชมความสวยงามในธรรมชาติของบ้านเรา รวมไปถึงโครงการดีๆ ที่พ่อหลวงในพระบรมโกศได้ทรงคิดค้นและทำไว้เป็นตัวอย่างแก่พวกเราคนไทยทุกคน…

เพื่อนๆ สามารถศึกษาเกี่ยวกับโครงการหลวงทั่วประเทศและแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือเพิ่มเติมได้ที่: http://www.gonorththailand.com หรือโทร 1672 ครับผม : )

Exit mobile version