Site icon PALAPILII-THAILAND

ROAD TRIP โอมาน 6 คืน 5 วัน ด้วยเงิน 35,000 บาท (รวมตั๋วเครื่องบิน)

ตอนนี้ผมโคตรเบื่อการท่องเที่ยวเลย และยิ่งเบื่อเข้าไปอีกเมื่อเปิดหน้าเฟสบุ๊คก็มีแต่คนเที่ยว เที่ยว เที่ยว แล้วก็เที่ยวเต็มไปหมด ประเด็นคือสถานที่ท่องเที่ยวที่มันผ่านเข้ามาใน New Feed ส่วนใหญ่มันคือที่เดิมๆ เพิ่มเติมคือเปลี่ยนคนที่อยู่ในภาพ และเปลี่ยนมุมมองของตากล้องเท่านั้น จุดนี้เองจึงทำให้ผมพยายามดึงตัวเองออกไปในที่ไกลๆ ที่ๆ แปลกใหม่แต่มนุษย์ทำงานประจำอย่างเรายังจับต้องได้อยู่…

“ โ อ มาน “ เลยกลายมาเป็น Destination ของหยุดยาวช่วงเดือนตุลาคมปี 2018 ไปโดยปริยาย ทริปนี้เราจองตั๋วก่อนไปไม่กี่วันครับ พอเช็คตารางงานตัวเองว่าสามารถไปได้ ก็กดจองตั๋วไปแบบไม่ต้องคิด คลิ๊กเข้าไปที่ traveloka เปรียบเทียบตั๋วของหลายสายการบิน ก็ทำให้เห็นว่า oman air ณ เวลานั้น คือรูทที่ดีที่สุด และราคาพอรับได้ ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป

ซึ่งในรีวิวตัวนี้ จะขอแบ่งรีวิวเป็นหัวข้อที่สำคัญไปทีละหน้า ทีละหน้า เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เตรียมพร้อมและรับมือกับประเทศที่คนไทยไม่ค่อยไปทริปนี้ได้อย่างดี และสะดวกสบายที่สุด ทริปนี้เราใช้เวลาในโอมาน 5 วัน 4 คืนเต็มๆ ถ้ารวมเดินทางด้วยก็จะเป็น 6 คืน 5 วัน ขับรถกว่า 1,000 กิโลเมตร และหมดค่าใช้จ่ายไปราวๆ 30,000 – 40,000 บาท (ที่มีค่าประมาณของรายจ่ายเพราะเราอาจพักคนละที่กัน และเล่นกิจกรรมไม่เหมือนกัน) และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะเริ่มกันที่หน้าแรกกันเลย

001 แผนการเดินทาง

การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางแบบตามเข็มนาฬิกา คือไล่ตั้งแต่ Muscat > Tiwi > Sur > Nizwa > Balha แล้ววนกลับมาบรรจบที่เดิมที่ Muscat ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเดินทางทวนเข็มก็ได้ไม่ว่ากัน แต่หากใครจะตามรอยเรา สามารถ copy paste แผนการเดินทางข้างล่างนี้ไปได้เลย

//อันที่มี ** คือควรค่าแก่การไป คือต้องไป//

DAY 1

08:00 – Sink Hole**

09:00 – Bimmah Beach

10:00 – Wadi Ash Shap**

14:00 – Wadi Khalid

17:00 – Camel Riding**

18:30 – Desert Camping**

DAY 2

05:30 – Crossing Sand dune & Sunrise in Wahiba Desert**

16:00 – Nizwa Fort

DAY 3

06:00 – Snake Canyon Canyoning

16:00 – The Village

17:00 – Oman Grand Canyon //Jebel shams viewpoint 1**

17:30 – Sunset Point**

DAY 4

05:30 – Sunrise //Jebel shams viewpoint 3**

11:00 – Bahla Fort**

17:00 – Matrah Souq

DAY 5

07:00 – Sultan Qaboose Grand Mosque**

09:00 – Muscat Palace

วันสุดท้ายก็ถือว่าเบาๆ เก็บที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวง ขับรถชมบ้านเมืองเค้า มีเวลาเก็บกระเป๋าสบายๆ ไม่ต้องรีบ ตกบ่ายก็เตรียมตัวเข้าสนามบิน เช็คอิน แล้วก็กลับบ้านไปอย่างปลอดภัย

002 การเช่ารถสำหรับ Oman Road Trip

สำหรับการเช่ารถที่โอมานแล้ว แนะนำให้เป็นรถทรงแนวๆ HR-V ของ Honda หรืออะไรที่ใหญ่กว่านั้น เนื่องจากว่าสภาพภูมิประเทศเป็นเขา ทราย และทางลูกรังชันๆ ในบางข่วง ถ้าเป็นรถเก๋งจะไม่สะดวก ซึ่งสำหรับรถของเราทริปนี้ ใช้ Nissan Kicks ตกราคาราวๆ 2,000 บาทต่อวัน จะวิ่งได้ไม่เกินวันละ 200 กิโลเมตร ถ้าเกิน 200 กิโลเมตร จะถูกคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มกิโลละ 0.05 OMR ส่วนเว็บที่ใช้หารถเช่านั้น ทริปนี้เราใช้ www.rentalcar.com

003 ค่าเงิน Oman และการแลกเงิน

ค่าเงินในประเทศโอมานจะอ่านว่า “เรียล” มีสัญลักษณ์ OMR ซึ่ง 1 OMR จะมีค่าราวๆ 85 บาทไทย หากจะแลกเงินไว้ใช้ในประเทศโอมาน แนะนำให้แลกเป็น USD ที่ Super Rich ก่อน แล้วค่อยเอา USD ไปแลกเป็น OMR อีกทีจะได้ค่าเงินที่คุ้มกว่า เพราะหากเอาเงินไทยไปแลกที่นั่น Rate จะอยู่ที่ 1 OMR = 95 บาท ซึ่งแพงกว่ากันมากๆ

004 ระบบไฟฟ้าและปลั๊กเสียบ

ที่นี่ใช้ไฟ 220V เหมือนบ้านเราครับ แต่ปลั๊กเสียบจะเป็นสามขา (TYPE G) ตามรูปเลย ใช้คำว่าต้องเตรียม Adapter มาด้วย และแนะนำให้นำปลั๊กสามตามา เพิ่มความสะดวกในการใช้แต่ละครั้ง

005 การจองที่พักหรือ Walk in

สำหรับโอมานแนะนำให้จองที่พักกับ Booking ที่พักส่วนใหญ่ในสถานที่ที่ไปไม่รับบัตรเครดิท ซึ่งแต่ละสถานที่ที่เราไปพักล้วนเป็นที่ที่เราโคตรแนะนำ //จะพูดในข้อถัดไปในรีวิวของแต่ละวัน ซึ่ง Booking มีที่พักให้เราเลือกเยอะมาก และหากเราสนใจจะพักใกล้บริเวณที่เราต้องการไปเที่ยว ก็แค่เลือกจองที่ผักตาม Map ได้เลย และส่วนการ Walk in เท่าที่เจอกับตัวในทริปนี้ ราคา Walk in จะถูกกว่าจองในเว็บ ยังไงเพื่อนๆ ลองช่างใจดูนะครับ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอยู่ ซึ่งหากเพื่อนๆ จองผ่านลิ้งค์ https://www.booking.com/s/palapi11 นี้ สามารถรับส่วนลดในการจอง 1,000 บาท เพียงผูกบัญชีด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิท และจองที่พักราคา 2,000 บาทขึ้นไป

006 การแต่งตัวในสถานที่ต่างๆ การเตรียมตัว และสภาพภูมิอากาศ

ประเทศนี้เป็นประเทศที่ค่อนข้างเปิดรับเทคโนโลยีครับ Drone สามารถปล่อยได้ตามแหล่งธรรมชาติหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้ปกติ เพียงแต่ในเมืองห้ามปล่อยเท่านั้น ภูมิอากาศของโอมาน โดยทั่วไปมี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน อุณหภูมิ 31- 47 องศาเซลเซียส ระหว่าง เม.ย.- ต.ค. และฤดูหนาว อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส ระหว่าง พ.ย.- มี.ค. แต่ยกเว้นทางใต้ของประเทศจะมีภูมิอากาศแบบมรสุม มีฝนตกเป็นประจำระหว่างเดือน พ.ค.- ก.ย. ส่วนการแต่งกายแนะนำให้เป็นผ้าสบายๆ มีเสื้อกันลมดีๆ ไปสักหนึ่งตัว ชุดกันหนาวสำหรับเดินทางสักหนึ่งชุด ครั้งนี้เอาเสื้อผ้าของ A|X Armani Exchange มาใส่ครบเซ็ต แมทช์ทั้งตอนเดินทาง เป็น Airport look เท่ๆ ที่การันตีว่าสบายตัวสุดๆ จะนั่งๆ นอนๆ ยาวๆ ไปบนเครื่องไม่ต้องกลัวยับอะไรทั้งนั้น แถมยังเอาไปแมทช์ตอนท่องเที่ยวในแต่ละวันได้ด้วย //ในทะเลทรายและบน Jebel shams หนาวนะ เสื้อกันหนาวผ้าดีๆ สักตัวเป็นสิ่งจำเป็น หารองเท้าเก๋ๆ ไว้สักคู่ไว้ใส่ในเมือง รองเท้าแตะหนึ่งคู่ รองเท้าลุยน้ำหนึ่งคู่ เลือกให้เหมาะกับกิจกรรมที่เราต้องใช้ ส่วนเรื่องสีสัน เอาตามจริตของตัวเราเองเลย ส่วนอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ คือแว่นกันแดดและครีมกันแดด จำเป็นสุดๆ

คนที่นี้ถ้าเป็นผู้ชายจะแต่งตัวประจำชาติเสี่ยส่วนใหญ่ เป็นชุดขาวๆ ทั้งตัว มีหมวกกลมใส่บนหัว ส่วนผู้หญิงจะแต่งตัวมิดชิดมากๆ ที่สำคัญกว่าแต่งตัวมิดชิด คือหาผู้หญิงในเมืองนี้ยากมาก ไม่รู้ว่าเค้าไปอยู่ไหนกันหมด แต่ถ้าเห็น ก็จะเป็นใส่มิดชิดสีดำทั้งตัว หรือบางคนไม่เคร่ง ก็จะแต่งธรรมดาๆ อย่างเราๆ

ซึ่งภูมิอากาศ โดยทั่วไปมี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน อุณหภูมิ 31- 47 องศาเซลเซียส ระหว่าง เม.ย.- ต.ค. และฤดูหนาว อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส ระหว่าง พ.ย.- มี.ค. แต่ยกเว้นทางใต้ของประเทศจะมีภูมิอากาศแบบมรสุม มีฝนตกเป็นประจำระหว่างเดือน พ.ค.- ก.ย.

007 รู้จักประเทศโอมานกันก่อน

โอมานเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทางตะวันตกติดกับซาอุดีอาระเบีย และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับเยเมน มีชายฝั่งบนทะเลอาหรับทางใต้และตะวันออก และอ่าวโอมานทางตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ก็ยังมีดินแดนส่วนแยกอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายและภูเขา มีชายฝั่งทะเลยาว 2,092 กิโลเมตร ปรากฏบริเวณที่เป็นภูเขาสูงอยู่ 2 บริเวณแคบ ๆ คือ บริเวณติดต่อกับเยเมน และบริเวณชายฝั่งอ่าวโอมาน ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ และมีลุ่มบางแห่งแถบชายฝั่งบริเวณหัวแหลมและอ่าวอยู่หลายแห่งมีเกาะ กลุ่มเกาะอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ เกาะและกลุ่มเกาะที่สำคัญ ได้แก่ เกาะมาสิราห์ และกลุ่มเกาะคูเรีย มาเรีย

//ที่มา wikipidia

008 การเดินทางและร้องขอ VISA

การเดินทางในโอมาน เมื่อบินมาถึงสามารถทำ VISA ON ARRIVAL ได้ที่สนามบินเลย ใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่ จะถูกซักถามเล็กน้อย อารมณ์แบบมากี่วัน มาทำอะไร ไปไหนบ้างแค่นั้น หรือถ้ามากหน่อยก็จะขอดูว่าเราจองที่พักมาหรือเปล่า มีแผนการเที่ยวอย่างไรบ้าง แนะนำว่าป้องกันตัวเองไว้โดยการปริ้นท์ใบจองทุกอย่างติดตัวมาด้วย จะได้ไม่เสียเวลาเดินทางเรา ส่วนค่าใช้จ่ายตกราวๆ 16 USD ต่อคน สำหรับ 10 วันในโอมาน

และการเดินทางที่นี่ส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยรถยนต์ แนะนำว่าควรขับรถให้เป็น ที่นี่ขับพวงซ้าย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะรถที่นี่น้อย ควรติดบัตรเครดิทมาด้วย รวมถึงใบขับขี่สากล สองอย่างนี้จำเป็นมากๆ ห้ามลืมโดยเด็ดขาด

009 ข้อแนะนำเพิ่มเติม

010 1st DESTINATION “SINK HOLE”

Sink Hole คือสถานที่ท่องเที่ยวแรกตามแพลนของรูทนี้ ครั้งแรกที่เห็นคือต้องมา ที่นี่คือหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกลงไปถึงผิวน้ำ 22 เมตร สามารถทำ Cliff Jumping ที่นี่ได้ เค้าไม่ห้าม แต่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ซึ่งผม ไม่ได้ทำ เสียใจมาก รู้สึกเสียดายที่สุดแล้วในทริปนี้

Sink Hole เกิดจากการยุบตัวของแผ่นดินที่ด้านล่างเป็นทางน้ำไหลมาบรรจบกัน ด้านติดทะเลจะมีน้ำจากใต้ทะเลผุดเข้ามา ส่วนด้านติดภูเขาจะมีน้ำที่ไหลจากภูเขาไหลเข้ามาบรรจบ //อันนี้คือถามจากคนพื้นที่นะ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่จากที่ลงไปเล่น ก็ได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ระดับหนึ่ง เพราะน้ำมันใสมากๆ แต่มีรสชาติกล้อมแกล้ม จืดๆ ปนเค็ม

ที่นี่มีสปาปลาด้วยนะ คือเอาเท้าจุ่มลงไปแล้วปล่อยทิ้งไว้นิ่งๆ จะมีปลามาจิกกัดเนื้อเยื่อเบาๆ ทั้งสนุก ทั้งรู้สึกดี ที่สำคัญคือห่างจากตัว Muscat ไม่นานมากเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น จุดนี้เป็นอีกจุดที่ควรแวะมาถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆ กลับบ้านมากๆ

011 BIMMAH BEACH

เนื่องจากว่าในฝั่งตะวันออกของโอมานจะมีอ่าวโอมาน //ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า แต่คือจะมีหาดสลับกลับร่องน้ำจำนวนมาก ซึ่ง Bimmah Beach เป็นอีกที่หนึ่งที่คนพื้นที่ข้างทางเค้าแนะนำว่าสวย น่าไป

พอเราไปถึงก็มีคนมา Camping รู้สึกว่าคนที่นี่เค้าชอบ Camping นะ เห็นตรงไหนสวยๆ หน่อย จะมีร่องรอยการจุดฟืนผิงไฟทำอาหารเต็มไปหมดเลย ซึ่งหาดก็ไม่ได้สวยอะไรมาก แต่มันดูมีทุกอย่างครบดี เพราะไม่คิดว่ามาโอมานจะได้มาสัมผัสน้ำทะเลด้วยแหละ

หาด Bimmah มีหอยเต็มไปหมด ซึ่งพอเดินเข้าไปก็พบกับซากปะการังเพียบเลย เป็นปะการังที่ตายแต่สวยงามมาก อีกทั้งมีปูเสฉวนเป็นพันเป็นหมื่นตัว นี่ก็เลยคิดสนุกจับปูมาใต่พุงตัวเอง ทั้งสนุกทั้งกลัว ฟีลดีกว่าสปาปลาที่ Sink Hole อีกนะ ยังไงลองทำดู ฮาๆๆ

012 WADI ASH SHAP

ที่นี่คือสถานที่ที่ทำให้ผมกดจองตั๋วเครื่องบินมาโอมานครับ ครั้งแรกที่เห็นคือรู้สึกว่ามันเป็นโอเอซิสเก๋ๆ กลางหุบเขาที่มีต้นไม้เขียวๆ แกมขึ้นมาได้อย่างเรียบง่ายและสวยงามเบาๆ แต่พอมาถึงที่นี่จริงๆ แล้วละก็ อู้หูววววววว แม่งดีกว่าในรูปที่เห็นเยอะเลย

เริ่มต้นจากการปักหมุดมาที่ใต้สะพานเมือง Tiwi เราต้องจอดรถแล้วนั่งเรือข้ามฝั่งไปครับ เสียคนละ 1 OMR จากนั้นก็จะต้องเดินเข้าไปอีกราวๆ 40 นาที ซึ่งระหว่างทางเดินเข้า เพื่อนๆ จะได้พบกับวิว Canyon แล้วก็โอเอซิสสีเขียวสวยๆ ตลอดทาง

เดินไปจนกระทั่งเดินต่อไปไม่ได้ จะเห็นคนวางรองเท้า เสื้อผ้า และกระเป๋าทิ้งไว้ตามหน้าผาเต็มไปหมด นั่นแหละคือสัญญาณบอกแล้วว่าเราจะต้องว่ายน้ำเข้าไปต่อ ซึ่งการว่ายน้ำเข้าไปก็จะต้องใช้เวลาอีกราวๆ 20 นาที

น้ำมีทั้งตื้นและลึก แล้วแต่บริเวณที่ไป มีจุด Jumping สวยๆ ให้ได้โดดเล่นกัน แต่ไม่สูงมาก มีสไลด์เดอร์หินให้ได้ไถลลงสนุกๆ ด้วยนะ แนะนำให้ pack ของกินมากินกันข้างใน ฟีลดีมากๆ เลยล่ะ

// ภาพอยู่ใน Gopro เดี๋ยวเอามาแปะอีกที //

และจุด Highlight ที่สุดของ Wadi Ash Shap คือ Emerald Cave ถ้ำมรกต ที่จะต้องมาก่อนเที่ยงเท่านั้น ถึงจะได้เห็นแสงของดวงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาในถ้ำเกิดเป็นสีเขียวมรกต ซึ่งการเข้าไปขอแนะนำเลยว่า ต้องว่ายน้ำเป็นและแข็งพอสมควร เนื่องจากว่าน้ำลึกและช่องที่เข้าไปนั่นแคบโคตรๆ

// ภาพอยู่ใน Gopro เดี๋ยวเอามาแปะอีกที //

พอเข้าไปข้างในก็จะเป็นโถงขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็กที่มีน้ำตกสูง 4 เมตรไหลลงมาจากช่องแคบระหว่างเขา ซึ่ง ณ จุดนี้เอง คือน้ำที่ไหลมาจาก Wadi Khalid เป็น Canyon อีกที่ที่หากมีเวลา ก็ควรแวะเข้าไป แต่ทริปนี้ของเราขอตัดทิ้ง เพราะเวลาไม่พอ และคิดว่า แค่ Wadi Ash Shap ก็เพียงพอแล้ว

ที่รู้เพราะถามคนโอมานเรื่อยๆ เลยครับ ข้อมูลใน internet บางทีไม่จำเป็นเลย คนที่นี่ตามสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ speak ได้ และใจดีด้วย ยินดีดูแลเราดีมาก ซึ่ง first impression อาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้ว คือจิตใจดีโคตรๆ respect มา ณ จุดนี้

013 WAHIBA DESERT CAMPING

เชื่อเหอะว่าจบจาก Wadi Ash Shap ก็เหนื่อยแล้วล่ะ แต่ก็ต้องขับรถต่อไปอีก 1 ชั่วโมง เพื่อเข้าไปที่เมือง Sur แล้วต่อไปที่ Jalan Bani Buhassan เราจะไป Camping ที่ The Legend Of Dunes

แนะนำว่าควรติดต่อจองมาก่อนเลย เพราะที่นี่น่าจะเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องการ แล้วติดต่อจองอูฐสำหรับขี่ชมพระอาทิตย์ตกไว้ด้วยเลย เพราะตอนที่เรามา เราไม่ได้จอง เลยอดขี่อูฐ ที่สำคัญคือควรมาให้ถึงที่นี่ก่อน 4 โมงเย็น

การจะเข้าไปถึงที่นี่ได้จะต้องขับไปจอดที่ Al Reem Desert Camp ก่อน จากนั้นจะต้องจ้างรถ 4×4 สำหรับเดินทางเข้าไปกลางทะเลทราย 20 OMR (ราคานี้ทั้งไปและกลับ) ตอนแรกก็คิดว่าทำไมต้องเสียเงินเช่ารถอีกวะ ในเมื่อรถที่เช่ามา ก็น่าจะขับเข้าไปได้ แต่เอาเข้าจริงๆ แม่งเหมาเค้าเถอะ เพราะทางที่เข้าไปใน Camping แม่ง ทะเลทรายแบบทะเลทรายจริงๆ รถเล็กๆ ไม่สามารถเข้าไปได้เลย หรือถ้าเข้าไปได้ ล้อก็คงติดทราย ไม่ก็ท้องรถติดเนินทราย ลำบาก และอาจเสียเวลาเข้าไปอีก ถ้าจะพักที่นี่ ก็ยอมจ่ายเพิ่มไปละกัน

บรรยากาศกลางทะเลทรายคือดีมาก ตกดึกมาจะมีลมพัดตลอด และที่สำคัญคือไม่ร้อนเลย ทั้งๆ ที่ในห้องพักที่เป็นเต้นท์ ก็ไม่ได้มีพัดลมหรือแอร์ปรับอากาศให้ พนักงานดูแลดี เจ้าของมาดูแลด้วยตัวเอง ช่วงหนึ่งทุ่มจะเป็นช่วง Dinner ซึ่งทั้ง Dinner และ Breakfast ถูกรวมไว้ในราคาที่พักแล้ว

อาหารเป็นแบบ Local คือกินได้ อร่อย บรรยากาศดีมากๆ พนักงานดูและดี นี่กูพูดเป็นครั้งทีสองแล้วใช่ไหมว่าพนักงานดูแลดี บอกเลยว่าเค้าไม่ได้จ้าง แต่กูอยากให้คนอ่านได้ไปจริงๆ หลังจาก dinner เสร็จ ก็จะเป็น Night Camping Fire เป็นการสุมหัวรวมกันกลางกองไฟในทะเลทรายในบรรยากาศหนาวหน่อยๆ คือดีมาก สิ่งที่แนะนำสำหรับที่นี่คือ เสื้อกันหนาว แอลกอฮอล์สร้างบรรยากาศ และเรื่องราวดีๆ ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง

มากไปกว่านั้นคือสำหรับใครที่ถ่ายรูปเป็น เอาขาตั้งกล้องมาด้วย เพราะประเทศนี้ถ้าฟ้าเปิด ดาวแม่งเต็มท้องฟ้าเลย แต่วันนั้นที่เราไปพัก ไอ่บ้าเอ้ยยย ดวงจันทร์แม่งชัดเหลือเกิน เพราะเข้าใกล้วันเข้าพรรษา แต่โดยรวมแล้ว บรรยากาศก็ยังดีเหมือนเดิม อ่อ… ลืมบอกราคาที่พักไปเลย ที่นี่ตกคืนละประมาณ 4,000 บาท ไทยนะครับ รวมอาหารเช้าและเย็น แต่จะต้องจ่ายค่ารถเข้ามาเพิ่มอีก 20 OMR  เบ็ดเสร็จก็ตกราวๆ 5,000 บาท ต่อคืนนั่นเอง ถ้ามากันสี่คนเหมือนเรา จะหารกันได้ประมาณนี้แหละ…

014 WAHIBA CROSSING SAND DUNE

ตื่นเช้ามามีนัดไป Crossing Sand Dune ตอนตีห้า และไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่กลางทะเลทรายด้วย Crossing Sand Dune คือการขับรถลุยทะเลทรายไปไกลๆ คือเหมือนขับ Off road ในทะเลทรายอ่ะ บางจังวะก็ดริฟกลางเนิน ขับลุยๆ ให้เหมือนรถจะคว่ำ ไอ่บ้าเอ้ย ทั้งสนุกทั้งเสียว

และที่นี่คือจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดของทริปนี้ กลางทะเลทราย Wahiba คือสุดยอดจริงๆ ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ หรือรูปภาพสวยๆ ได้เท่ากับการที่เราได้ไปสัมผัสเองแล้วล่ะ

จบจากนั้นควรรีบ Check out ออกจากที่พักให้เร็วที่สุด ก่อนที่อากาศกลางทะเลทรายจะร้อนไปมากกว่านี้ ซึ่งไอ่ตัว Crossing Sand dune ราคาเหมาคันอยู่ที่ 40 OMR สำหรับผม ถือว่าคุ้มค่า ควรจัดสักหนึ่งดอก ก่อนกลับจะพาแวะไปชมที่เลี้ยงอูฐของเค้าด้วย ก็ให้เราไปถ่ายรูปกับอูฐอย่างใกล้ชิดก่อนกลับ น่ารักมากๆ

015 NIZWA FORT

ขับรถต่อไปเรื่อยๆ ราวๆ 3-4 ชั่วโมง ขับกันไปยาวๆ เลยวันนี้ ระหว่างทางก็จะทำให้เห็นถนนของประเทศนี้ ว่าดีกว่าบ้านเราเยอะจริงๆ ซึ่งก็เข้ามาที่ตัวเมือง Nizwa เพื่อเตรียมตัวไป Canyoning สำหรับทริปพรุ่งนี้ แต่ที่เมืองนี้ ก็เป็นเมืองใหญ่ ที่ shopping mall และ ป้อมปราการที่สมบูรณ์ดีให้เราได้เข้าไปชมเรื่องราวและประวัติศาสตร์กัน

ขอไม่ลงลึกเรื่องประวัติศาสตร์ แต่เอาเป็นว่าการจะเข้าไปที่นี่ จะต้องเสียเงินค่าเข้าคนละ 5 OMR ถ้าให้ผมพูดว่าควรเข้ามาไหม ก็จะพูดว่า เข้าก็ได้ ไม่เข้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเราก็ต้องไป Bahla Fort ป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศนี้อยู่ดี

แต่การที่เข้ามาที่ Nizwa Fort ก็จะทำให้เพื่อนๆ ได้เห็นอะไรในมุมที่ไม่เคยเห็นบนจุดสูงสุดของป้อมปราการแห่งนี้นั่นเอง จุดนี้เลยกลายเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุดใน Nizwa ไปโดยปริยาย

016 Nizwa Herritage Inn

ถ้ามาเมือง Nizwa ผมแนะนำให้พักที่นี่เลย ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่รับรองว่าจะได้สัมผัสกับที่พักที่อิงความเป็น Nizwa ได้อย่าง 100% ซึ่งบรรยากาศห้องพักก็จะประมาณนี้

ราคาที่พักราวๆ 3,000-4,000 บาทต่อคืน อยู่ใจกลางเมืองเลย ห่างจาก Nizwa fort เพียง 300 เมตร และคือตลาดจับจ่ายซื้อของก็อยู่บริเวณนั้น ที่สำคัญคือได้สัมผัสกับชุมชนของคนโอมานอย่างแท้จริง เพราะที่พักอยู่ในซอกหลืบ เหมือนเราได้ไปอยู่ในบ้านเพื่อนที่โอมานของใครคนใดคนหนึ่งอย่างไงอย่างงั้น

ราคาที่พักนี่รวมอาหารเช้านะ แต่เราก็ไม่ได้กิน เพราะเดี๋ยวเช้าถัดไป เราต้องออกจากที่นี่ตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพี่อจะไป Snake Canyon นั่นเอง

017 SNAKE CANYON

Snake canyon เป็นอีกหนึ่งจุดที่อยู่นอกแพลนของคนไทย เท่าที่สืบหาข้อมูลมา ยังไม่เห็นคนไทยคนไหนรีวิวไว้เลย แล้วจากการสืบค้นมาพอสมควร ทำให้เราสามารถดึงกิจกรรม Canyoning ที่นี่เข้ามาอยู่ในทริปนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมจ่ายเยอะหน่อย ถึงหัวละ 50 OMR เลย ไปดูกันว่ามันคุ้มค่าต่อการจ่ายแพงๆ ขนาดนี้ไหม

ซึ่งแค่ระหว่างทางไปก็พีคแล้วล่ะ วิวสวยมากกก สวยจนคิดว่าคงไม่ต้องไป Jebel shams สถานีต่อไปของเราแล้ว แต่ไกด์บอกว่า ไปเถอะ เพราะมันคนละอย่างกัน ระหว่างทางของที่นี่จะเต็มไปด้วยภูเขาสูงใหญ่แบบใหญ่สัสๆ สลับกัน บางช่วงเป็นหน้าผาลึก แล้วคือทางโคตรเล็ก ใช้เวลาเดินทางจากตัว Nizwa ไปถึงจุดเตรียมพร้อมราวๆ 2 ชั่วโมง

เจ้า Snake Canyon เป็นบางส่วนของ Wadi Bani Awf จะพาเราเข้าไปอยู่ในชองแคบของเขาสองลูกที่ถูกน้ำกัดเซาะจนทำให้เกิดร่องรอยของธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นสีของโขดหิน หรือสระน้ำกลาง canyon ที่เราจะต้องโดดลงไปบ้าง ไต่เชือกลงไปบ้าง ใช้เวลารายๆ 4 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมนี้ ถ้ามองจากภาพด้านบนแล้ว เป็นไงล่ะ เหมือนงูไหม…

ในทริปจะรวมรถรับส่งจากที่พักให้เรา อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วที่จำเป็นจริงๆ ก็คือหมวกกันน็อค ใครที่ว่ายน้ำไม่เป็น กรุณาเตรียมชูชีพมาเองนะครับ เพราะไม่มีให้ และไม่มีให้เช่า คือแม่งต้องเป็นประมาณหนึ่ง บางจุดต้องโรยตัวลงมา บางจุดต้องโดดน้ำ บางจุดต้องไต่หินปีนผา เหมาะกับคนที่มีกำลัง คนที่ร่างกายพร้อมครับ

//ภาพลุยๆ อยู่ใน Gopro เดี๋ยวเอามาแปะตามหลัง//

อีกหนึ่งอุปกรณ์จำเป็นมากๆ ที่สำคัญคือรองเท้าสำหรับ Canyoning ถ้าใครไม่มีก็แนะนำให้เอาผ้าใบลุยๆ มาก็ได้ และก็ water prove backpack ก็จำเป็นมากๆ สำหรับกิจกรรมนี้ สำหรับผมที่เคย canyoning มาหลายที่ ผมให้กิจกรรมนี้ ผ่านในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ตื่นเต้นมากจนร้อง โอ้ยอีเหี้ย สวย!! สนุกจังเลย!! ขนาดนั้น

แต่สำหรับคนที่ไม่เคย Canyoning ผมว่าต้องชอบแน่ๆ ที่สำคัญคือก่อนมาควรเช็คระดับน้ำด้วย เพราะถ้าก่อนหน้าที่เราจะมา ฝนไม่ตก สถานที่แห่งนี้ก็จะไม่มีน้ำให้เราได้เล่นกัน นี่คือเบอร์ของไกด์เรา Said เมมเบอร์ไว้ //เบอร์เอาไว้ก่อนนะ อยู่ในมือถืออีกเครื่อง// แล้วทักเค้าไปทาง Whatapp ซะนะ

018 MISFAT AL ABREEN VILLAGE

หมู่บ้านแห่งนี้ เป็นหมู่บ้านระหว่างทางที่สวยงามที่สุดที่ควรค่าแก่การจอดรถแวะพักถ่ายรูป เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปจากหน้าผาริมถนนราวๆ 500 เมตร แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความขลังและความดึกดำบรรพ์

เหมือนที่นี่จะเป็นบ้านที่อยู่ริมผา ใช้หินทำบ้าน ใช้ดินทำบ้านอะไรประมาณนั้น จากการขุดเจาะ สลัก และใช้ชีวิตโดยการทำการเกษตรแล้วเอามาค้าขาย บริเวณพื้นราบด้านล่างมีต้นอินทผาลัมเต็มไปหมด เอ๊ะ! หรือปาล์มวะ ๕๕๕ มองไปแล้วอบอุ่นแปลกๆ จริงๆ ไม่ต้องแวะก็ได้ แต่อยากเอามาแชร์ความรู้สึกที่ได้เห็นแค่นั้น

019 GRAND CANYON OMAN

ให้ตายเถอะ Jebel shams ก่อนมา เพื่อนร่วมทริปอ่านรีวิวคนไทยที่ไปไว้เยอะ แล้วบอกว่ารถยนต์ธรรมดาขับขึ้นมาไม่ได้ นี่ขอเถียงได้มะ ว่าได้ ขับมาเถอะ มันขึ้นมาได้จริงๆ ถนนไม่ได้แย่ขนาดนั้น ไม่ต้องห่วง ขับขึ้นมาได้สบายๆ แต่ถ้าให้แนะนำ ก็ขอเป็นรถอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่รถเก๋ง จะสะดวกกว่า แต่ถามว่าถ้ารถเก๋งได้ไหม ก็ได้!!!!

ทางขึ้นมา jebel shams อย่างที่ said บอกไว้ไม่มีผิด ว่าคนละเรื่องกับ ทางไป Snake canyon คือทางไป Snake Canyon มันสวยนะ แต่ทงาขึ้น jebel shams ก็สวยคนละแบบ คือนี่ทำให้รู้ว่า ใครมา road trip oman แล้วไม่ได้มาที่นี่ ถือว่ายังมาไม่ถึง

ทางช่วงแรกลาดยางปกติ ขับสบาย พอขึ้นมาช่วงกลางถึงจะเป็นทางลูกรัง ซึ่งก็ท้าทายพวกเราพอสมควร แนะนำให้เอาลมยางออกหน่อย เพื่อไม่ให้ยางเราทำงานหนัก  ช่วงขับบนถนนธรรมดาเติมสัก 32-34 psi พอเข้ามาในเขต jebel shams ลดลงมาสัก 28-30 psi นะ น่าจะเกาะถนนได้ดีพอสมควร

ระหว่างทางมีจุดจอดให้ถ่ายรูปเยอะมาก มีฝูงแพะ ฝูงแกะเต็มไปหมด ส่วนรถสวนทาง หรือรถขับมาพร้อมๆ กับเราไม่ค่อยมีหรอก แนะนำให้ขึ้นไปให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินนะ ไม่งั้นค่อนข้างอันตรายพอสมควร

ผ่านช่วงกลางของทางขึ้น jebel shams ก็จะเป็นถนนดีๆ แล้ว คือไม่ได้ยาก และน่ากลัวอย่างที่คิดจริงๆ ขับไปไม่ไกล ก็จะเจอ Jebel shams viewpoint 1 ซึ่งก็คือ Oman Grand Canyon นั่นเอง ตรงนี้จะมีจุดขายของที่ระลึกจากชาวบ้านบริเวณนี้ ส่วนวิวก็จะสุดลูกหูลูกตาประมาณในภาพ ถามว่าเทียบกับ Grand Canyon ที่อเมริกาแล้วเป็นยังไงบ้าง ขอตอบเลยว่า ไม่… เทียบไม่ได้หรอ? ป่าวว ยังไม่เคยไป ตึ่งโป๊ะ!!

ซึ่งควรใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มค่าที่สุด และกะเวลาไปชมพระอาทิตย์ตกดินให้ทันด้วย ซึ่งจะแนะนำให้ข้อถัดไปที่จะถึง

020 SUNSET POINT

จริงๆ แล้วคนเราจะดูพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็ได้ แต่การมาเที่ยวไกลๆ สักครั้งที่ไม่ค่อยได้ไปเหมือนเดินเล่นพารากอนหรือช็อปของถูกๆ ที่จตุจักร เราก็ควรสรรหาสถานที่ที่ดีที่สุดให้กับตัวเรา อย่างการชมอาทิตย์อัสดงสวยๆ สักครั้งบน jebel shams ครั้งนี้

นี่ขอแนะนำข้างๆ Jebel shams resort จุดที่ถนนลาดยางสิ้นสุด ณ จุดนี้ มองไปทางขวาจะมีทางลูกรังให้ขับเข้าไป จริงๆ แล้วขับไปทาง resort ก็จะพอรู้มุมเองล่ะ ว่าจุดไหน ควรจะดูพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุดในวันนี้

เตรียมกล้องถ่าย time-lapse เก็บเรื่องราวดีๆ ไวน์สักขวด แล้วจิบไปพรางๆ กับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับตาเราไปในร่องเขาสองลูก แสงบางๆ ค่อยๆ ลาไป พร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากแดงเป็นม่วงดำบอกว่าวันนี้ได้หมดไปแล้วนะ

ไอ่บ้าเอ้ยยย มัวแต่ดูพระอาทิตย์ตกดิน… เลยยังไม่ได้จองที่พัก อ่ะก็ไปหากันต่อด้านบนนี่แหละ จริงๆ มีความคิดว่าจะนอนในรถไปเลยด้วยซ้ำ จะได้ประหยัดตัง ๕๕๕ แต่…

021 MOUNTAIN CAMPING

ข้างบนแม่งโคตรหนาวเลยว่ะ จ่ายๆ ไปเถอะ นานๆ มาที แต่ที่พักบนนี้ก็แพงเสียเหลือเกิน ลองเช็คตาม web booking ต่างๆ ราคาหูฉี่เลย เลยขับแวะถามไปแต่ละที่ ปรากฎว่า walk in ในช่วง last minutes จะได้ราคาที่ถูกกว่า แต่คืนนี้ เราจึงมาพักกันที่ Sama Heights Resort นั่นเอง

ที่พักคือดีงามอีกแล้วอ่ะ ราคาต่อคืนลดเหลือ 40 OMR รวมอาหารเช้า และอาหารเย็น บริการดี ในห้องมีอ่างอาบน้ำ มีแอร์ มีโทรทัศน์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่คิดว่าบนเขาจะมี

อาหารก็ดีงาม เยอะแยะเต็มไปหมด คือดี ดี ดี ควรค่าแก่การเข้าพัก ได้คุยกับ reception เค้าก็แนะนำดีมากๆ จริงๆ jebel shams มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก กิจกรรมที่ผมจะแนะนำจะมีกิจกรรมนี้ครับ

  1. Small trekking เป็นรูท trek เบาๆ ใช้เวลาไปกลับราวๆ 3 ชั่วโมง ไปจนถึงหมู่บ้านกลางหุบเขา
  2. Via ferrata จะเป็นกิจกรรมภาคต่อจากข้อแรก ซึ่งสามารถเล่นกิจกรรมนี้ได้ในราคา 35 OMR ต่อคน
  3. ใครที่มีเวลาเหลือๆ 1 วันเต็ม สามารถขึ้นยอดเขา Jebel shams ได้เลย ใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้น ราคาตรงนี้ไม่ได้ถามอ่ะ ยังไงลองติดต่อดูหากสนใจ

แต่สำหรับเรา เราขอเลือกรูทเบาๆ ที่เราคิดกันขึ้นมาเอง นั่นก็คือ a little trekking route for sunrise ไปดูกัน

022 SUNRISE POINT

รูทนี้เดินทางไม่ไกลมาก ขับกลับไปที่ jebel shams resort แล้วขับลุยเข้าไปในถนนลูกรังเรื่อยๆ ราวๆ 2 กิโลเมตร เพื่อนๆ ก็จะเจอกับเนินเขาที่เป็น viewpoint 3 ใน google map จอดรถทิ้งไว้ในที่ที่ปลอดภัย แล้ว trek ขึ้นไปราวๆ 500 เมตรในทางชัน

แนะนำให้ตื่นตั้งแต่ตี 4:30 เพื่อมาถ่ายดาวก่อน หรือถ้าไม่ถ่ายดาวก็ตื่นตี 5 แล้วรีบขับไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้น จากที่พักของเราไป viewpoint 3 ห่างกันราวๆ 10 นาทีเท่านั้น เตรียมเสื้อกันหนาวดีๆ สักตัวนะ เพราะอากาศข้างบนหนาวพอสมควร นี่ดีที่ติดเซ็ต airport look ของ A|X Armani Exchange มาด้วย กันหนาวได้ดีเลย ใส่สบาย กันลม แล้วยังเหมาะกับสถานที่ชิคๆ แบบนี้อีก Love อ่ะ

ซึ่งชุดที่ผมใส่ทั้งชุด ก็จะมีเสื้อตัวนอกเป็น LOGO SLEEVE BONDED ZIP-UP HOODIE กางเกงเป็น LOGO PRINT SIDE-STRIPE SWEATPANT และรองเท้าเก๋ๆ TEXTURED CHEVRON LOW-TOP SNEAKER ยังไงใครสนใจการแต่งตัวของผมใน look นี้ ลองเข้าไปดูสินค้าใน ร้าน A|X Armani Exchange ได้ที่ Siam Center, EmQuartier, Central Phuket และ CentralFestival Pattaya Beach เลยครับ

และสำหรับคนที่กลัวความสูง แนะนำว่าไม่ควรเข้าไปใกล้ๆ หน้าผานะครับ เพราะถ้ามองลงไปคือใจแป๊วเลยนะ และจะมีจุดหนึ่ง ที่จะมีหินยื่นออกไป จุดนี้เป็นอีกจุด ที่ควรเก็บภาพกลับบ้านสำหรับการขึ้นมาบน jebel shams ของผมในทริปนี้

023 BAHLA FORT

อิ่มหนำกับวิว Canyon บน Jebel shams เต็มที่ แต่ท้องยังไม่เต็มด้วยอาหาร เลยรีบกลับมา breakfast ในทีพักกันต่อ ซึ่งขอย้ำว่าที่นี่ ของเค้าดีจริงๆ ครับ

ก่อนกลับลงไปจู่ๆ ในความรู้สึกมันบอกว่าไม่อยากกลับเลย หลงรักโอมานเข้าไปแบบ 100% แล้ว หลายเดือนที่ผ่านมายอมรับว่าเบื่อการท่องเที่ยวมาก ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปนาน ความรู้สึกที่มีไฟ อยากขับรถไปต่อไปหมดลงไปเยอะ จนมาเจอที่นี่นี่แหละ แม่งโคตรชอบเลย jebel shams

เราขับรถลงมา แล้วมุ่งหน้าสู่เมือง Bahla ใช้เวลาราวๆ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง ที่นี่คืออีกจุดที่คนพื้นที่บอกว่า ถ้าคุณมา Bahla Fort คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปดูป้อมปราการที่ไหนแล้ว

Bahla Fort คือป้อมปราการที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในโอมาน สภาพยังคงสมบูรณ์ แต่ไม่ได้มีศูนย์จัดแสดงประวัติศาสตร์อะไรมากมาย ยังเน้นความดิบแบบสดๆ ไม่ปรุงแต่ง เข้าไปทำให้เห็นว่ามนุษย์ยุคก่อนก็เก่งนะ สามารถสร้างป้อมปราการใหญ่ๆ ที่สวยแบบนี้ได้

แต่ผมก็ไม่อินเท่าไหร่หรอก เพราะไม่ใช่สายนี้ ใครที่อยากอิน แนะนำให้ถ่านประวัติศาสตร์มาเยอะๆ แต่ถามว่าควรแวะมาที่นี่ไหม สำหรับผม ก็แวะมาเถอะ มันคงเหมือนต่างชาติมาประเทศไทยแล้วไม่ได้แวะมาดูเมืองเก่าของอยุธยาอะไรประมาณนั้น

024 MUTRAH SOUQ

แป็บเดียวทริปก็จะจบลงแล้วอ่ะ เราขับจาก Bahla เลย Muscat มาที่ Matrah ใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง ตาม step ช่วงท้ายของทริป คือหาที่พักโดยการ Walk in ได้ Mutrah Hotel ในราคาคืนละ 20 OMR

ภายในที่พักคือเด็ดดวง คล้ายกับเป็นโรงแรงในยุคแรกๆ ของเมืองนี้ กระทั้งลิฟต์ ที่ยังเป็นแบบเปิดปิดประตูเอง แต่ทว่า ห้องพักใหญ่โต กว้างขวางมากๆ เตียงนุ่ม มีแอร์ มีทีวี แต่ไม่รวมอาหารเช้าเท่านั้น จากที่พักไป Mutrah Souq ราวๆ 1.5 กิโลเมตร แต่ขับรถไปเถอะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย

ถ้าเปรียบ Mutrah Souq ที่นี่ ก็คงจะเหมือนขายของโบราณในจุตจักรที่บ้านเรา มีเสื้อผ้า สิ่งถัก สิ่งทอ เครื่องเงิน และของโบราณต่างๆ เต็มไปหมด มันเป็นแหล่ง shopping ของนักท่องเที่ยว และที่อยากได้มากๆ จากการเดินตลาดแห่งนี้ นั่นก็คือ ผ้าครับ ซึ่งตัวตลาดเองอยู่ติดกับท่าเรือเลย บรรยากาศตอนเย็นดีมากๆ มีร้านอาหารบริเวณท่าเรือให้นั่งกินเพียบ

ผ้า Handcraft ของที่นี่ราคาแพงมากกกก แต่ก็มีลายและเอกลักษณ์ที่ชัดเจน บางผืนขนาดราวๆ 1 x 1 ตร.ม. เหยียบ 2,000 บาท และผ้าที่แพงที่สุดในร้านที่ถามมาคือ 350,000 บาท โอ้วแม่เจ้า อยากได้ แต่ไม่กล้าซื้อจริงๆ ใครขาช็อปของฝาก postcard ของโบราณ ก่อนกลับแนะนำให้มาที่นี่ //ไม่ได้ถ่ายผ้ามาให้ดู เพราะมัวแต่คุยกับเจ้าของร้านอยู่//

025 SULTAN QABOOS GRAND MOSQUE

วันสุดท้ายก็ตื่นเช้าหน่อย เพราะสถานที่แห่งนี้ที่เราจะไป เปิดตั้งแต่ 08.00 – 11.00 น. เท่านั้น ซึ่งมัสยิดแห่งนี้ เป็นมัสยิดประจำเมือง Muscat และเป็นมิสยิดที่เก่าแก่ และสวยงามที่สุดแล้ว จริงๆ เรามีโอกาสได้ขับผ่านตอนเช้ามืดด้วย ตอนกลางคืนสวยมากกกกก

แต่งตัวดีๆ ล่ะ ใส่ขายาว รองเท้าหุ้มส้น ส่วนผู้หญิงต้องคลุมหัวคลุมตัวให้มิดชิด จะได้เข้าไปดูประติมากรรมต่างๆ ข้างในได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ไม่มีสักกะบาทเดียว

ภายในสะอาด ถูกดูแลอย่างดี คงเต็มไปด้วยเรื่องราวและกุสโลบายมากมายแต่เราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้อ่านมา ๕๕๕ แต่ก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่นานหน่อยเพราะความอลังการและความขลังอันใหญ่โต ที่ไม่รู้ว่าถ่ายรูปออกมาจะสื่อให้รู้สึกถึงสัมผัสแบบนั้นได้หรือเปล่า

แต่ถ้าถามว่าควรแวะเข้ามาชมไหม จริงๆ ก็ไม่ต้อง แต่คุณจะมาโอมานบ่อยแค่ไหนกันเชียว ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็จัดแจงเวลาให้ได้เข้ามาชมสถานที่อันศักดิ์สิทธิแห่งนี้เถอะ…

026 ความรู้สึกครั้งแรกที่มาโอมาน

บอกได้คำเดียวว่าประทับใจ เพราะภาพในหัวที่คิดไว้ไม่ใช่แบบนี้ ในกระเป๋าเตรียม mask กันฝุ่นมา 5 อัน กะใช้ทุกวัน แต่ไหงไม่ได้ใช้ บ้านเมืองเค้าสะอาดดี ฝุ่นไม่เยอะ ขับรถง่าย ค่าใช้จ่ายถูก ถึงแม้ rate เงินจะดูแรงก็ตาม แต่เมื่อเทียบเป็นเงินไทย ราคาน้ำเปล่าก็ยังเท่ากับบ้านเราที่ 8 บาท อะไรประมาณนั้น

สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียค่าเข้า เพราะไม่ต้องดูแลอะไรมาก ธรรมชาติมันสร้างขึ้นมาเองของมันอยู่แล้ว และสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ดูยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้ ถนนยั่งกะขับรถเล่นที่แคนาดา แค่ไม่มีหิมะบนยอดเขาเท่านั้นเอง

ที่ชอบที่สุดคงจะเป็น Viewpoint บน Jebel shams ที่สองรองลงมาคือ Wadi ash Shap คือมาแล้วเก็บสองที่นี่ ถือว่าถึงโอมานแล้วล่ะ

027 สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป

จะขอสรุปเป็นตัวเลขกลมๆ ให้ฟังกันแบบไม่ยุ่งยาก เพราะความอยากของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน จะเอาแต่รายจ่ายสำคัญๆ มาโชว์ให้เห็นแล้วกัน

//คิด USD = 34 บาท, OMR = 90 บาท//

เครื่องบินไปกลับ 17,600 บาท (ราคาต่อคน)

วีซ่า 17 USD = 570 บาท (ราคาต่อคน)

เช่ารถ 5 วัน 9,760 บาท

น้ำมันทั้งทริป 33 OMR = 2,970 บาท

ขับเกินวันละ 200 กิโลเมตร 23 OMR = 2,070 บาท

ที่พัก The Legend Of Dunes 103.2 = 9,200 บาท (ราคาสำหรับสองห้อง)

เหมารถเข้าที่พักคืนแรก 20 OMR = 1,800 บาท

Crossing Sand dune 40 OMR = 3,600 บาท

Tips#1 12 OMR = 1,080 บาท

Nizwa Fort 5 OMR = 450 บาท (ราคาต่อคน)

Nizwa Herritage Inn 80 OMR = 7,200 บาท (ราคาสำหรับสองห้อง)

Snake Canyoning 50 OMR = 4,500 บาท (ราคาต่อคน)

Samah Heights Resort 80 OMR = 7,200 บาท (ราคาสำหรับสองห้อง)

Mutrah Hotel 40 OMR = 3,600 บาท (ราคาสำหรับสองห้อง)

Balah Fort 0.5 OMR = 45 บาท (ราคาต่อคน)

Boat Transfer Wadi 1 OMR = 90 บาท (ราคาต่อคน)

ที่เหลือจะเป็นค่ากิน เช่นถ้ากิน Mc Donald ก็จะตกมื้อละ 200 บาท ซึ่งขอเอาราคา Mc Donald เป็นมื้อพื้นฐานในการคิดค่าอาหารที่ไม่ได้รวมในที่พักสำหรับชีวิตที่อยู่ที่นั่น ก็คือ 7 มื้อ ตก 4 คนรวม 5,600 บาท

ฉะนั้น เมื่อคิดค่าใช้จ่ายรวม 4 คนทั้งหมด จะมียอดทั้งทริปคือ 137,688 บาท

คิดเฉลี่ยต่อคน ตกคนละ 34,422 บาท เท่านั้น : )

:: follow us ::

Youtube : https://goo.gl/Tk9uHo
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/

#palapilii
#wanderlust
#YOLO

Exit mobile version